องค์ประกอบหลักของกลยุทธ์การตลาด
1. การวิเคราะห์ตลาด (Market Analysis)
การวิเคราะห์ตลาด (Market Analysis) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจถึงสภาพแวดล้อมของตลาดในปัจจุบัน รวมถึงโอกาสและความท้าทายที่อาจเกิดขึ้น การวิเคราะห์ตลาดช่วยให้ธุรกิจสามารถวางกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมเพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการวิเคราะห์ตลาดแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอนหลัก ได้แก่
1. การวิเคราะห์ตลาดเป้าหมาย (Target Market Analysis)
- การแบ่งกลุ่มตลาด (Market Segmentation): แบ่งตลาดออกเป็นกลุ่มย่อยตามเกณฑ์ต่างๆ เช่น อายุ เพศ รายได้ ความสนใจ และพฤติกรรมการซื้อ
- การเลือกกลุ่มเป้าหมาย (Targeting): เลือกกลุ่มเป้าหมายที่ธุรกิจต้องการเน้นการทำการตลาดให้ชัดเจน
- การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (Positioning): วางตำแหน่งผลิตภัณฑ์หรือบริการในใจของกลุ่มเป้าหมาย ให้แตกต่างจากคู่แข่ง
2. การวิเคราะห์ลูกค้า (Customer Analysis)
- การทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า (Customer Needs): ศึกษาความต้องการ ปัญหา และแรงจูงใจในการซื้อของลูกค้า
- การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค (Consumer Behavior Analysis): ศึกษาพฤติกรรมการซื้อและการใช้สินค้าของลูกค้า เพื่อคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต
3. การวิเคราะห์คู่แข่ง (Competitor Analysis)
- การระบุคู่แข่ง (Identifying Competitors): ระบุคู่แข่งที่มีอยู่ในตลาด ทั้งทางตรงและทางอ้อม
- การวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่ง (SWOT Analysis of Competitors): ประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และความเสี่ยงของคู่แข่ง เพื่อหาวิธีการที่จะสร้างความได้เปรียบ
- การวิเคราะห์กลยุทธ์คู่แข่ง (Competitor Strategy Analysis): ศึกษากลยุทธ์ที่คู่แข่งใช้ เช่น การตั้งราคา การจัดจำหน่าย และการโปรโมตสินค้า
4. การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก (External Environment Analysis)
- การวิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐกิจ (Economic Factors): ศึกษาสภาวะเศรษฐกิจที่อาจมีผลต่อการทำธุรกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ย การจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อ
- การวิเคราะห์ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม (Social and Cultural Factors): พิจารณาพฤติกรรมและค่านิยมทางสังคมที่อาจมีผลต่อการทำธุรกิจ
- การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคโนโลยี (Technological Factors): ศึกษาการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่อาจมีผลกระทบต่อธุรกิจ
- การวิเคราะห์ปัจจัยทางการเมืองและกฎหมาย (Political and Legal Factors): พิจารณากฎระเบียบและนโยบายของรัฐบาลที่อาจส่งผลต่อการทำธุรกิจ
5. การวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของธุรกิจ (Internal Analysis)
- การประเมินจุดแข็งขององค์กร (Strengths): พิจารณาจุดแข็งที่ทำให้ธุรกิจมีความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
- การประเมินจุดอ่อนขององค์กร (Weaknesses): วิเคราะห์จุดอ่อนที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของธุรกิจ
6. การวิเคราะห์โอกาสและความเสี่ยง (Opportunities and Threats)
- การวิเคราะห์โอกาส (Opportunities): ระบุโอกาสทางธุรกิจที่สามารถนำมาใช้ในการสร้างความเติบโต
- การวิเคราะห์ความเสี่ยง (Threats): ประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอก
การวิเคราะห์ตลาดอย่างละเอียดจะช่วยให้ธุรกิจเข้าใจสภาพแวดล้อมการแข่งขัน รู้จักกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง และสามารถวางกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการตอบสนองต่อตลาดและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้
2. การวางตำแหน่งทางการตลาด (Market Positioning)
การวางตำแหน่งทางการตลาด (Market Positioning) เป็นกระบวนการสำคัญที่ช่วยกำหนดว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการของธุรกิจจะถูกมองและรับรู้โดยกลุ่มเป้าหมายอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง การวางตำแหน่งทางการตลาดที่ชัดเจนและแตกต่างสามารถช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งและทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกสินค้าหรือบริการของธุรกิจได้ง่ายขึ้น
ขั้นตอนสำคัญในการวางตำแหน่งทางการตลาด
1. การระบุคุณค่าและความแตกต่าง (Identify Value Proposition and Differentiation)
- คุณค่าที่ส่งมอบ (Value Proposition): กำหนดคุณค่าที่ธุรกิจสามารถนำเสนอให้กับลูกค้าได้ ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ลูกค้าจะเลือกสินค้าหรือบริการนั้น
- ความแตกต่าง (Differentiation): ระบุปัจจัยที่ทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณแตกต่างจากคู่แข่ง เช่น คุณภาพ ราคา การบริการ นวัตกรรม หรือประสบการณ์ที่ดีกว่า
2. การวิเคราะห์คู่แข่ง (Competitor Analysis)
- การศึกษาแนวทางการวางตำแหน่งของคู่แข่ง (Competitor Positioning): วิเคราะห์ว่าคู่แข่งของคุณวางตำแหน่งตนเองอย่างไรในตลาด เพื่อหาช่องว่างที่ธุรกิจของคุณสามารถเข้าไปครองได้
- การเปรียบเทียบจุดแข็งและจุดอ่อน (Comparison of Strengths and Weaknesses): ระบุว่าคุณมีข้อได้เปรียบอะไรบ้างที่สามารถใช้ในการวางตำแหน่งที่แตกต่างและดีกว่าคู่แข่ง
3. การระบุกลุ่มเป้าหมาย (Target Audience Identification)
- การเลือกกลุ่มเป้าหมาย (Target Audience Selection): เลือกกลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการเข้าถึง ซึ่งกลุ่มนี้ควรจะสอดคล้องกับตำแหน่งทางการตลาดที่คุณต้องการ
- การทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า (Understanding Customer Needs): ทำความเข้าใจความต้องการ ความคาดหวัง และปัญหาที่กลุ่มเป้าหมายต้องการแก้ไข
4. การสร้างข้อความที่ชัดเจนและสื่อความหมาย (Create a Clear and Meaningful Message)
- การพัฒนาข้อความหลัก (Core Message Development): พัฒนาข้อความหรือสโลแกนที่สื่อถึงตำแหน่งทางการตลาดของคุณอย่างชัดเจน ซึ่งควรจะเป็นข้อความที่สั้น กระชับ และโดนใจลูกค้า
- การเลือกช่องทางสื่อสาร (Choosing Communication Channels): เลือกช่องทางที่เหมาะสมในการส่งข้อความ เช่น โฆษณาทางทีวี สื่อสังคมออนไลน์ เว็บไซต์ หรือการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้ข้อความเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. การทดสอบและปรับแต่ง (Test and Refine Positioning)
- การทดสอบตำแหน่งทางการตลาด (Market Testing): ทดสอบตำแหน่งที่คุณวางไว้กับกลุ่มตัวอย่างของกลุ่มเป้าหมายเพื่อดูว่าพวกเขารับรู้และเข้าใจตำแหน่งของคุณอย่างไร
- การปรับแต่งและปรับปรุง (Refinement): หากจำเป็น ให้ปรับแต่งข้อความหรือกลยุทธ์ตามผลการทดสอบ เพื่อให้มั่นใจว่าตำแหน่งทางการตลาดของคุณชัดเจนและได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมาย
6. การสื่อสารและการนำเสนอ (Communicate and Implement Positioning)
- การสื่อสารภายในองค์กร (Internal Communication): ให้พนักงานทุกคนเข้าใจและสนับสนุนตำแหน่งทางการตลาดใหม่ เพื่อให้ทุกคนสามารถส่งเสริมตำแหน่งนั้นได้อย่างเป็นหนึ่งเดียว
- การนำไปใช้ในตลาด (Market Implementation): ใช้ตำแหน่งทางการตลาดในการออกแบบแคมเปญโฆษณา การสร้างแบรนด์ และการส่งเสริมการขาย เพื่อให้เกิดการรับรู้ในตลาด
การวางตำแหน่งทางการตลาดที่ประสบความสำเร็จจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่โดดเด่น ทำให้ลูกค้าเห็นคุณค่าของสินค้าหรือบริการของคุณเหนือกว่าคู่แข่ง และนำไปสู่การตัดสินใจซื้อในที่สุด
3. การแบ่งส่วนตลาด (Market Segmentation)
การแบ่งส่วนตลาด (Market Segmentation) คือกระบวนการในการแบ่งตลาดขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลายออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีความต้องการ ลักษณะ และพฤติกรรมที่แตกต่างกัน โดยการแบ่งส่วนตลาดช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้สามารถตอบสนองลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาด
ประเภทของการแบ่งส่วนตลาด
1. การแบ่งส่วนตามลักษณะประชากรศาสตร์ (Demographic Segmentation)
- แบ่งตามอายุ เพศ รายได้ การศึกษา อาชีพ สถานภาพสมรส ขนาดครอบครัว เป็นต้น
- เป็นวิธีที่นิยมมากเพราะง่ายต่อการระบุและเข้าใจพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มลูกค้า
2. การแบ่งส่วนตามลักษณะภูมิศาสตร์ (Geographic Segmentation)
- แบ่งตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เช่น ประเทศ ภูมิภาค เมือง อากาศ หรือสภาพแวดล้อม
- ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของพื้นที่แต่ละแห่ง
3. การแบ่งส่วนตามลักษณะจิตวิทยา (Psychographic Segmentation)
- แบ่งตามไลฟ์สไตล์ ค่านิยม บุคลิกภาพ ความเชื่อ หรือทัศนคติ
- ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีพฤติกรรมและความชอบคล้ายคลึงกัน
4. การแบ่งส่วนตามพฤติกรรมการซื้อ (Behavioral Segmentation)
- แบ่งตามพฤติกรรมการซื้อ ความถี่ในการใช้สินค้า โอกาสในการซื้อ ความภักดีต่อแบรนด์
- เน้นที่พฤติกรรมของลูกค้าในตลาด ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมการซื้อและสามารถพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสมได้
5. การแบ่งส่วนตามประโยชน์ที่ลูกค้าคาดหวัง (Benefit Segmentation)
- แบ่งตามประโยชน์ที่ลูกค้าคาดหวังจากผลิตภัณฑ์หรือบริการ เช่น ความสะดวกสบาย คุณภาพ หรือราคา
- ช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ (Product Strategy)
การแบ่งส่วนตลาด (Market Segmentation) คือกระบวนการในการแบ่งตลาดขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลายออกเป็นกลุ่มย่อยๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีความต้องการ ลักษณะ และพฤติกรรมที่แตกต่างกัน โดยการแบ่งส่วนตลาดช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้สามารถตอบสนองลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นและเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในตลาด
ประเภทของการแบ่งส่วนตลาด
1. การแบ่งส่วนตามลักษณะประชากรศาสตร์ (Demographic Segmentation)
- แบ่งตามอายุ เพศ รายได้ การศึกษา อาชีพ สถานภาพสมรส ขนาดครอบครัว เป็นต้น
- เป็นวิธีที่นิยมมากเพราะง่ายต่อการระบุและเข้าใจพฤติกรรมการซื้อของกลุ่มลูกค้า
2. การแบ่งส่วนตามลักษณะภูมิศาสตร์ (Geographic Segmentation)
- แบ่งตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เช่น ประเทศ ภูมิภาค เมือง อากาศ หรือสภาพแวดล้อม
- ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของพื้นที่แต่ละแห่ง
3. การแบ่งส่วนตามลักษณะจิตวิทยา (Psychographic Segmentation)
- แบ่งตามไลฟ์สไตล์ ค่านิยม บุคลิกภาพ ความเชื่อ หรือทัศนคติ
- ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีพฤติกรรมและความชอบคล้ายคลึงกัน
4. การแบ่งส่วนตามพฤติกรรมการซื้อ (Behavioral Segmentation)
- แบ่งตามพฤติกรรมการซื้อ ความถี่ในการใช้สินค้า โอกาสในการซื้อ ความภักดีต่อแบรนด์
- เน้นที่พฤติกรรมของลูกค้าในตลาด ซึ่งช่วยให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมการซื้อและสามารถพัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะสมได้
5. การแบ่งส่วนตามประโยชน์ที่ลูกค้าคาดหวัง (Benefit Segmentation)
- แบ่งตามประโยชน์ที่ลูกค้าคาดหวังจากผลิตภัณฑ์หรือบริการ เช่น ความสะดวกสบาย คุณภาพ หรือราคา
- ช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบผลิตภัณฑ์และบริการที่ตรงกับความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. กลยุทธ์การกำหนดราคา (Pricing Strategy)
กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ (Product Strategy) คือกระบวนการวางแผนและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นในการตอบสนองความต้องการของตลาดเป้าหมาย โดยการกำหนดลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์ เช่น คุณภาพ ฟีเจอร์ การออกแบบ การตั้งราคา และการวางตำแหน่งทางการตลาด เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
องค์ประกอบหลักของกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์
1. คุณภาพของผลิตภัณฑ์ (Product Quality)
- คุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า คุณภาพที่ดีจะช่วยสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ทำให้เกิดการซื้อซ้ำและความภักดีต่อแบรนด์
2. ฟีเจอร์และฟังก์ชันการทำงาน (Features and Functionalities)
- ฟีเจอร์ของผลิตภัณฑ์ต้องสอดคล้องกับความต้องการและปัญหาที่ลูกค้าต้องการแก้ไข การเพิ่มฟีเจอร์ที่เป็นนวัตกรรมหรือที่โดดเด่นกว่าคู่แข่งสามารถช่วยดึงดูดลูกค้าและเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์
3. การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design)
- การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สวยงาม ใช้งานง่าย และตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความแตกต่างในตลาด การออกแบบที่ดีสามารถทำให้ผลิตภัณฑ์โดดเด่นและเป็นที่จดจำในใจลูกค้า
4. การกำหนดสายผลิตภัณฑ์ (Product Line Strategy)
- การวางแผนและจัดการสายผลิตภัณฑ์ รวมถึงการตัดสินใจว่าจะเพิ่มหรือลดจำนวนผลิตภัณฑ์ในสายผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการของตลาดและความสามารถในการแข่งขัน
5. การกำหนดราคา (Pricing Strategy)
- การตั้งราคาผลิตภัณฑ์ต้องสอดคล้องกับคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ และต้องคำนึงถึงต้นทุน การแข่งขัน และความสามารถในการจ่ายของกลุ่มเป้าหมาย การกำหนดราคาที่เหมาะสมสามารถช่วยดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขาย
6. การสร้างแบรนด์ (Branding)
- การสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นและความจดจำในใจลูกค้า การสร้างแบรนด์ที่มีความโดดเด่นและสอดคล้องกับค่านิยมของกลุ่มเป้าหมายสามารถช่วยสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
7. การจัดการวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle Management)
- การวางแผนและบริหารจัดการผลิตภัณฑ์ในแต่ละช่วงของวงจรชีวิต ตั้งแต่การเปิดตัว (Introduction) การเติบโต (Growth) การเข้าสู่จุดอิ่มตัว (Maturity) จนถึงการลดลง (Decline) เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างเหมาะสม
8. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (New Product Development)
- การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ควรมุ่งเน้นที่การตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้าและนำเสนอนวัตกรรมที่โดดเด่น
กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของตลาด เพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว
6. กลยุทธ์การจัดจำหน่าย (Distribution Strategy)
กลยุทธ์การจัดจำหน่าย (Distribution Strategy) คือกระบวนการวางแผนและการเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายที่เหมาะสม เพื่อให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกช่องทางที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้สินค้าสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็วขึ้น สร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้า และเพิ่มโอกาสในการขาย
ประเภทของช่องทางการจัดจำหน่าย
1. การจัดจำหน่ายโดยตรง (Direct Distribution)
- เป็นการขายสินค้าหรือบริการจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภคโดยตรง โดยไม่ผ่านคนกลาง ตัวอย่างเช่น การขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ของบริษัท หรือการขายผ่านร้านค้าของบริษัทเอง
- ข้อดี: ควบคุมคุณภาพและประสบการณ์ลูกค้าได้ดีกว่า, กำไรที่สูงขึ้นเพราะไม่ต้องแบ่งกับคนกลาง
- ข้อเสีย: ต้องลงทุนสูงในการจัดตั้งช่องทางการขายและการตลาด
2. การจัดจำหน่ายโดยอ้อม (Indirect Distribution)
- เป็นการขายสินค้าผ่านคนกลาง เช่น ผู้ค้าส่ง ผู้ค้าปลีก หรือผู้จัดจำหน่าย ตัวอย่างเช่น การขายผ่านซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าปลีก หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ
- ข้อดี: เข้าถึงตลาดได้รวดเร็วและกว้างขวางขึ้น, ลดต้นทุนการขายและการกระจายสินค้า
- ข้อเสีย: ควบคุมประสบการณ์ลูกค้าได้น้อยลง, กำไรต่อหน่วยน้อยลงเพราะต้องแบ่งให้คนกลาง
3. การจัดจำหน่ายหลายช่องทาง (Multi-Channel Distribution)
- ใช้ทั้งช่องทางการขายโดยตรงและโดยอ้อมร่วมกัน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและการเข้าถึงลูกค้าที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น การขายสินค้าผ่านทั้งร้านค้าออนไลน์ เว็บไซต์บริษัท และร้านค้าปลีก
- ข้อดี: เข้าถึงลูกค้าหลากหลายกลุ่มได้มากขึ้น, เพิ่มโอกาสในการขาย
- ข้อเสีย: ต้องการการจัดการที่ซับซ้อนมากขึ้นในการควบคุมช่องทางต่าง ๆ ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น
4. การจัดจำหน่ายแบบเข้มข้น (Intensive Distribution)
- การวางสินค้าผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายหลายแห่งเพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้สะดวก เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคที่มีจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกทั่วไป
- ข้อดี: เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขวาง, สินค้าถูกซื้อบ่อย
- ข้อเสีย: แข่งขันสูงในตลาด, ควบคุมการจัดการยากขึ้น
5. การจัดจำหน่ายแบบคัดเลือก (Selective Distribution)
- การเลือกเฉพาะบางช่องทางการจัดจำหน่ายที่มีคุณภาพหรือบริการดีเพื่อขายสินค้า ตัวอย่างเช่น การขายสินค้าผ่านห้างสรรพสินค้าหรือร้านค้าที่มีภาพลักษณ์ดี
- ข้อดี: ควบคุมคุณภาพการจัดจำหน่ายได้ดี, สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสินค้า
- ข้อเสีย: เข้าถึงลูกค้าได้น้อยกว่าการจัดจำหน่ายแบบเข้มข้น
6. การจัดจำหน่ายแบบเฉพาะเจาะจง (Exclusive Distribution)
- การเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายเพียงช่องทางเดียวหรือผู้ค้าปลีกรายเดียวในการจัดจำหน่ายสินค้า ตัวอย่างเช่น การขายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับสิทธิพิเศษ
- ข้อดี: ควบคุมการจัดจำหน่ายและการตลาดได้อย่างสมบูรณ์, สร้างความพิเศษและมูลค่าให้กับสินค้า
- ข้อเสีย: จำกัดการเข้าถึงลูกค้า, ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของผู้จัดจำหน่ายรายเดียว