กฎหมาย PDPA คืออะไร ?
กฎหมาย PDPA หรือ Personal Data Protection Act เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในประเทศไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการละเมิดความเป็นส่วนตัวของบุคคลในด้านข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยโดยองค์กรต่าง ๆ
PDPA มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 โดยกฎหมายนี้กำหนดให้หน่วยงานที่เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดบางประการ เช่น
1. การขอความยินยอม: การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลล่วงหน้า ยกเว้นในบางกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ไม่ต้องขอความยินยอม เช่น กรณีที่เกี่ยวข้องกับการรักษาชีวิตของบุคคล หรือการปฏิบัติตามกฎหมาย
2. การแจ้งวัตถุประสงค์: ผู้เก็บรวบรวมข้อมูลจะต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงวัตถุประสงค์ในการเก็บรวบรวม การใช้ และการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
3. สิทธิของเจ้าของข้อมูล: เจ้าของข้อมูลมีสิทธิที่จะเข้าถึงข้อมูลของตนเอง ขอให้แก้ไข หรือลบข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมได้ และมีสิทธิที่จะเพิกถอนความยินยอมในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลได้ในภายหลัง
4. การคุ้มครองข้อมูล: ผู้เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลต้องมีมาตรการในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคล
การละเมิดกฎหมาย PDPA สามารถนำไปสู่การลงโทษทางกฎหมายได้ ซึ่งรวมถึงโทษปรับและโทษจำคุกในบางกรณี
กฎหมาย PDPA มีจุดประสงค์หลักเพื่ออะไร ?
กฎหมาย PDPA (Personal Data Protection Act) หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 เป็นกฎหมายที่ออกมาเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลในประเทศไทย โดยมีจุดประสงค์หลักในการป้องกันการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ยินยอมจากเจ้าของข้อมูล และการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว โดยกฎหมาย PDPA มีข้อกำหนดหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการเก็บรวบรวม ใช้ และเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงการให้สิทธิแก่เจ้าของข้อมูลในการควบคุมและเข้าถึงข้อมูลของตนเอง
หลักสำคัญของ PDPA มีดังนี้
1. การเก็บรวบรวมข้อมูล: องค์กรหรือหน่วยงานใดที่ต้องการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลจะต้องขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน โดยต้องแจ้งวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลให้ชัดเจน
2. การใช้ข้อมูล: ข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกนำมาใช้เฉพาะตามวัตถุประสงค์ที่ได้ขอความยินยอมไว้เท่านั้น
3. การเปิดเผยข้อมูล: การส่งหรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลให้แก่บุคคลที่สาม ต้องมีการขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อน ยกเว้นในกรณีที่กฎหมายอนุญาต
4. สิทธิของเจ้าของข้อมูล: เจ้าของข้อมูลมีสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ ขอให้แก้ไขหรือลบข้อมูล และขอให้หยุดการใช้ข้อมูลได้
5. มาตรการรักษาความปลอดภัย: องค์กรต้องมีมาตรการในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
กฎหมายนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลส่วนบุคคลถูกใช้ในหลายแง่มุม ทั้งในภาคธุรกิจและภาครัฐ
เพราะเหตุใด ถึงต้องมีกฎหมาย PDPA ?
กฎหมาย PDPA (Personal Data Protection Act) หรือ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เป็นกฎหมายที่ถูกบังคับใช้เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน ซึ่งข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านี้สามารถระบุตัวตนของบุคคลได้ และอาจรวมถึงชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
สาเหตุหลักที่ต้องมีกฎหมาย PDPA
1. การปกป้องความเป็นส่วนตัวของบุคคล: ในยุคดิจิทัล ข้อมูลส่วนบุคคลถูกเก็บรวบรวมและใช้ประโยชน์ในหลายๆ แง่มุม เช่น การตลาด การวิจัย หรือการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค การปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลจึงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลนี้ถูกใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมหรือถูกละเมิด
2. การป้องกันการละเมิดและการโจรกรรมข้อมูล: ข้อมูลส่วนบุคคลที่ไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสมอาจถูกแฮกเกอร์หรือบุคคลที่ไม่หวังดีเข้าถึงและนำไปใช้ในการฉ้อโกงหรือก่ออาชญากรรม การมีกฎหมาย PDPA ช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้
3. การสร้างความเชื่อมั่น: การปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้บริการหรือประชาชนว่าข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาจะได้รับการคุ้มครองและใช้ในทางที่ถูกต้อง
4. การปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานสากล: กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในระดับสากล เช่น GDPR ของยุโรป ได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่ในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีกฎหมายที่สอดคล้องกันเพื่อรองรับการทำธุรกิจระหว่างประเทศ
5. การลดความเสียหายที่เกิดจากการละเมิดข้อมูล: หากเกิดการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบและอาจได้รับโทษตามที่กฎหมายกำหนด การมีกฎหมาย PDPA ช่วยลดความเสียหายและความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการจัดการข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้กฎหมาย PDPA มีความสำคัญในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยในยุคดิจิทัล
บริษัทควรปฏิบัติอย่างไร ให้ถูกกฎหมาย PDPA ?
การปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ของประเทศไทยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกบริษัทที่จัดการข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า พนักงาน หรือบุคคลอื่น ๆ ต่อไปนี้คือแนวทางที่บริษัทควรปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย PDPA
1. การเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคล
- บริษัทต้องเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลเฉพาะที่จำเป็นและเหมาะสมตามวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนและถูกต้องตามกฎหมาย
- ต้องแจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบถึงวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูล และต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลก่อนที่จะดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล เว้นแต่ว่ามีเหตุอันสมควรที่กฎหมายยกเว้น
2. การใช้และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
- ข้อมูลส่วนบุคคลต้องถูกใช้และเปิดเผยเฉพาะตามวัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้เท่านั้น การใช้ข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากที่ได้รับความยินยอมต้องได้รับความยินยอมใหม่จากเจ้าของข้อมูลก่อน
- หากต้องการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลต่อบุคคลภายนอก บริษัทต้องตรวจสอบว่าการเปิดเผยดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมายและได้แจ้งให้เจ้าของข้อมูลทราบแล้ว
3. การจัดการและเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล
- บริษัทต้องมีมาตรการในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลให้ปลอดภัยจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต การสูญหาย การเปลี่ยนแปลง หรือการเปิดเผยที่ไม่ได้รับอนุญาต
- กำหนดระยะเวลาการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล โดยหลังจากหมดความจำเป็นในการเก็บรักษาแล้ว บริษัทควรลบหรือทำลายข้อมูลดังกล่าว
4. สิทธิของเจ้าของข้อมูล
- เจ้าของข้อมูลมีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง รวมถึงสิทธิ์ในการขอแก้ไข ลบ หรือระงับการใช้ข้อมูล
- บริษัทต้องจัดเตรียมช่องทางให้เจ้าของข้อมูลสามารถใช้สิทธิ์เหล่านี้ได้อย่างสะดวก และต้องตอบสนองคำร้องของเจ้าของข้อมูลภายในระยะเวลาที่กำหนด
5. การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO)
- บริษัทควรแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (DPO) ที่มีความเชี่ยวชาญและสามารถทำหน้าที่ตรวจสอบให้มั่นใจว่าบริษัทปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PDPA
6. การฝึกอบรมและสร้างความตระหนัก
- บริษัทควรจัดการฝึกอบรมและสร้างความตระหนักให้กับพนักงานเกี่ยวกับความสำคัญของการปฏิบัติตาม PDPA และวิธีการจัดการข้อมูลส่วนบุคคลอย่างถูกต้อง
7. การจัดทำเอกสารและนโยบาย
- บริษัทควรมีนโยบายเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ชัดเจนและสอดคล้องกับกฎหมาย PDPA รวมถึงการจัดทำบันทึกการเก็บรวบรวมและการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล
การปฏิบัติตาม PDPA ไม่เพียงแต่ช่วยให้บริษัทปฏิบัติตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องว่าข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาจะได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสมอีกด้วย