เทคนิคลงโฆษณา Google คุ้มทุกการลงทุน
1. กำหนดวัตถุประสงค์ของโฆษณา
การกำหนดวัตถุประสงค์ของโฆษณาบน Google Ads มีความสำคัญต่อการเลือกกลยุทธ์และวิธีการที่เหมาะสมกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ วัตถุประสงค์แต่ละอย่างมีลักษณะเฉพาะและแนวทางการทำงานที่แตกต่างกันไป ดังนี้
1. การสร้างความตระหนักรู้ในแบรนด์ (Brand Awareness)
- วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้คนรู้จักและจดจำแบรนด์ของคุณมากขึ้น
- วิธีการ: ใช้โฆษณาแบบ Display หรือ Video เพื่อให้คนเห็นแบรนด์ของคุณในวงกว้าง โดยเน้นไปที่การเข้าถึง (Reach) และจำนวนครั้งที่ผู้ใช้เห็นโฆษณา (Impressions)
- กลยุทธ์: เน้นการสร้างภาพลักษณ์ที่จดจำได้ง่าย ใช้ข้อความที่สั้นและมีผลต่อความรู้สึก ใช้ภาพหรือวิดีโอที่น่าสนใจ
2. เพิ่มยอดขาย (Sales)
- วัตถุประสงค์: กระตุ้นให้เกิดการซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการจากกลุ่มเป้าหมาย
- วิธีการ: ใช้โฆษณาแบบ Search หรือ Shopping Ads ที่ตรงกับคำหลักที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่ขาย
- กลยุทธ์: เน้นการใช้คำกระตุ้นการตัดสินใจ (Call to Action) ที่ชัดเจนและเน้นผลประโยชน์ของผลิตภัณฑ์หรือบริการ เช่น โปรโมชั่น, ส่วนลด, การจัดส่งฟรี
3. กระตุ้นการเข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic)
- วัตถุประสงค์: เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายหรือการสมัครสมาชิก
- วิธีการ: ใช้โฆษณาแบบ Search, Display, หรือ Discovery ที่เชื่อมต่อกับหน้าเว็บไซต์
- กลยุทธ์: ใช้คำหลักที่ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย สร้างโฆษณาที่เกี่ยวข้องและดึงดูดให้ผู้ใช้คลิกเข้าชมเว็บไซต์
4. เพิ่มจำนวนการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน (App Installs)
- วัตถุประสงค์: กระตุ้นให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันของคุณ
- วิธีการ: ใช้ App Campaigns ที่เน้นการโปรโมทแอปบน Google Play Store และ Apple App Store
- กลยุทธ์: ใช้ข้อความโฆษณาที่บ่งบอกถึงคุณค่าและประโยชน์ของแอปพลิเคชัน พร้อมกับ Call to Action ที่ชัดเจน เช่น “ดาวน์โหลดตอนนี้”
การเลือกวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องจะช่วยให้แคมเปญโฆษณามีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของธุรกิจได้มากขึ้น
2. เลือกประเภทของโฆษณา
การเลือกประเภทของโฆษณาขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ ลองพิจารณาดังนี้
- Search Ads: เหมาะสำหรับการเข้าถึงลูกค้าที่กำลังค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ช่วยให้คุณดึงดูดผู้ใช้ที่มีความสนใจอยู่แล้ว และเพิ่มโอกาสในการขาย
- Display Ads: เหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) โดยแสดงโฆษณาในรูปภาพหรือวิดีโอบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
- Video Ads: เหมาะสำหรับการดึงดูดความสนใจด้วยเนื้อหาที่เป็นวิดีโอ เช่น บน YouTube ใช้ได้ดีสำหรับการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์หรือโปรโมทสินค้าใหม่ ๆ
- Shopping Ads: เหมาะสำหรับธุรกิจที่ขายผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ (Physical Products) ช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพสินค้า ราคา และข้อมูลสำคัญก่อนที่จะคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์ของคุณ
- App Campaigns: เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการโปรโมทแอปพลิเคชัน ช่วยเพิ่มการดาวน์โหลดและการใช้งานแอป
ถ้าเป้าหมายของคุณคือการเพิ่มการค้นหาและขายสินค้าหรือบริการ Search Ads และ Shopping Ads อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณต้องการสร้างการรับรู้และให้คนรู้จักแบรนด์มากขึ้น Display Ads หรือ Video Ads ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ
3. เลือกกลุ่มเป้าหมาย (Audience Targeting)
การเลือกกลุ่มเป้าหมายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแคมเปญและความเข้าใจในลูกค้าของคุณ ดังนี้
- เลือกกลุ่มเป้าหมายตามประชากรศาสตร์ (Demographic Targeting): เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มคนในช่วงอายุ เพศ หรือที่ตั้งที่เฉพาะเจาะจง เช่น หากคุณขายผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผู้หญิงอายุ 25-34 ปี ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายนี้ได้โดยตรง
- การกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมและความสนใจ (Behavioral and Interest Targeting): เหมาะสำหรับการเข้าถึงผู้ที่แสดงความสนใจหรือมีพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขายอุปกรณ์ออกกำลังกาย คุณอาจเลือกกลุ่มคนที่มีความสนใจในฟิตเนสและสุขภาพ
- รีมาร์เก็ตติ้ง (Remarketing): เหมาะสำหรับการกระตุ้นให้ผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณกลับมาดำเนินการบางอย่าง เช่น การซื้อสินค้า รีมาร์เก็ตติ้งมีประสิทธิภาพในการเพิ่ม Conversion เพราะผู้ใช้เหล่านี้มักจะคุ้นเคยกับแบรนด์หรือสินค้าของคุณแล้ว
คุณอาจเลือกใช้หลายกลุ่มเป้าหมายพร้อมกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าที่ตรงกับเป้าหมายของคุณมากที่สุด เช่น การใช้รีมาร์เก็ตติ้งร่วมกับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมและความสนใจเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการทำโฆษณา
4. กำหนดงบประมาณและการเสนอราคา (Budget & Bidding)
การกำหนดงบประมาณและรูปแบบการเสนอราคาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารจัดการแคมเปญโฆษณาออนไลน์ นี่คือขั้นตอนและข้อแนะนำ
1. กำหนดงบประมาณรายวันหรือรายเดือน:
- งบประมาณรายวัน: เหมาะสำหรับแคมเปญที่ต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละวันอย่างใกล้ชิด คุณสามารถกำหนดจำนวนเงินสูงสุดที่คุณต้องการจ่ายในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้คุณไม่เกินงบประมาณที่ตั้งไว้
- งบประมาณรายเดือน: เหมาะสำหรับแคมเปญที่มีการดำเนินการระยะยาว งบประมาณจะถูกกระจายไปในแต่ละวันตลอดทั้งเดือน โดยเฉลี่ยแล้วคุณจะจ่ายตามงบประมาณที่ตั้งไว้ในแต่ละเดือน
2. เลือกรูปแบบการเสนอราคา (Bidding Strategy)
- การเสนอราคาตามจำนวนคลิก (Cost Per Click – CPC): เหมาะสำหรับแคมเปญที่ต้องการดึงดูดการคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ คุณจะจ่ายเมื่อมีคนคลิกที่โฆษณาของคุณเท่านั้น รูปแบบนี้เหมาะสำหรับการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์
- การเสนอราคาตามการแสดงผล (Cost Per Thousand Impressions – CPM): เหมาะสำหรับแคมเปญที่เน้นการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) คุณจะจ่ายเมื่อโฆษณาของคุณถูกแสดง 1,000 ครั้ง ไม่ว่าผู้ใช้จะคลิกหรือไม่
- การเสนอราคาตามการกระทำ (Cost Per Action – CPA): เหมาะสำหรับแคมเปญที่มุ่งเน้นการเพิ่ม Conversion เช่น การซื้อสินค้า การลงทะเบียน หรือการกรอกแบบฟอร์ม คุณจะจ่ายเมื่อมีการกระทำที่เฉพาะเจาะจงเกิดขึ้น
ข้อแนะนำ
- เริ่มต้นด้วยงบประมาณเล็ก ๆ และทดสอบรูปแบบการเสนอราคาต่าง ๆ เพื่อดูว่าแบบใดให้ผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ
- ถ้าเป้าหมายของคุณคือการเพิ่มยอดขายหรือ Conversion การเสนอราคาตามการกระทำ (CPA) อาจเหมาะสมที่สุด
- ถ้าคุณต้องการสร้างการรับรู้ในวงกว้างและไม่เน้น Conversion มากนัก การเสนอราคาตามการแสดงผล (CPM) อาจเป็นตัวเลือกที่ดี
การกำหนดงบประมาณและรูปแบบการเสนอราคาที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง
5. สร้างข้อความโฆษณา (Ad Copy)
การสร้างข้อความโฆษณาที่ดึงดูดใจและมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้แคมเปญโฆษณาของคุณประสบความสำเร็จ นี่คือแนวทางในการเขียนข้อความโฆษณา
1. เขียนข้อความโฆษณาที่ดึงดูดใจ
- ใช้ภาษาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย: คำนึงถึงความรู้สึกและปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย พูดถึงประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับจากสินค้าหรือบริการของคุณ
- เน้นความพิเศษหรือความแตกต่าง: ชูจุดเด่นที่ทำให้สินค้าหรือบริการของคุณเหนือกว่าคู่แข่ง เช่น ส่วนลดพิเศษ คุณภาพที่ดีที่สุด หรือบริการที่รวดเร็ว
2. ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและมีความหมายตรงกับความต้องการของผู้ใช้
- เน้นคีย์เวิร์ดสำคัญ: รวมคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณและตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้กำลังค้นหา เช่น หากคุณขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ คำว่า “สุขภาพดี”, “ลดน้ำหนัก”, “พลังงาน” อาจเป็นคำที่น่าสนใจ
- ตรงประเด็น: ข้อความควรชัดเจนและตรงประเด็น ไม่ควรยาวเกินไปหรือมีเนื้อหาที่ไม่จำเป็น
3. เพิ่มคำกระตุ้นการตัดสินใจ (Call to Action – CTA)
- ใช้คำกระตุ้นที่ชัดเจนและกระตุ้นให้ผู้ใช้ดำเนินการ เช่น “ซื้อเลย”, “สมัครสมาชิกวันนี้”, “ดูรายละเอียดเพิ่มเติม”, “รับข้อเสนอพิเศษ”
- ให้ผู้ใช้รู้ว่าพวกเขาจะได้อะไรถ้าคลิกที่โฆษณา เช่น “รับส่วนลด 20% เมื่อสั่งซื้อครั้งแรก”, “ดาวน์โหลดฟรี”
การเลือกคำที่ถูกต้องและการวางคำกระตุ้นการตัดสินใจที่โดดเด่นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการที่ผู้ใช้จะคลิกและดำเนินการตามที่คุณต้องการ
6. การเลือกคำหลัก (Keyword Selection)
การเลือกคำหลัก (Keyword Selection) เป็นขั้นตอนสำคัญในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำ SEO และการโฆษณาแบบ Pay-Per-Click (PPC) การเลือกคำหลักที่เหมาะสมสามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือขั้นตอนในการเลือกคำหลัก
1. เลือกคำหลักที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ
- เริ่มต้นด้วยการระบุคำหลักที่สะท้อนถึงสิ่งที่ธุรกิจของคุณนำเสนอ โดยพิจารณาจากคำที่ลูกค้ามักใช้ค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คล้ายกัน
- นึกถึงคำหลักที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า เช่น คำถามที่ลูกค้าถามบ่อยหรือปัญหาที่ผลิตภัณฑ์ของคุณสามารถแก้ไขได้
2. ใช้เครื่องมือ Keyword Planner เพื่อค้นหาคำหลักที่มีประสิทธิภาพ
- ใช้เครื่องมืออย่าง Google Keyword Planner หรือเครื่องมือวิเคราะห์คำหลักอื่น ๆ เพื่อค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องและตรวจสอบข้อมูลทางสถิติ เช่น ปริมาณการค้นหาและการแข่งขัน
- เครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยคุณระบุคำหลักใหม่ ๆ ที่คุณอาจไม่ได้นึกถึง และสามารถช่วยประเมินประสิทธิภาพของคำหลักต่าง ๆ ได้
3. เลือกคำหลักที่มีปริมาณการค้นหาสูงและมีความเกี่ยวข้อง
- มองหาคำหลักที่มีปริมาณการค้นหาสูง เนื่องจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการที่ผู้ใช้ค้นหามาพบเจอเว็บไซต์ของคุณ
- อย่าลืมคำนึงถึงความเกี่ยวข้องด้วย เพราะคำหลักที่มีปริมาณการค้นหาสูงแต่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณอาจไม่ได้ช่วยเพิ่มยอดขายหรือการเข้าชมที่มีคุณภาพ
- พิจารณาคำหลักที่มีการแข่งขันต่ำหรือปานกลางสำหรับการเริ่มต้น เพื่อให้มีโอกาสสูงขึ้นในการจัดอันดับในหน้าแรกของผลการค้นหา
การเลือกคำหลักที่ถูกต้องจะช่วยให้แคมเปญการตลาดออนไลน์ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้เยี่ยมชมที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้า
7. การตั้งค่าโฆษณา (Ad Setup)
การตั้งค่าโฆษณา (Ad Setup) เป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างแคมเปญโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ โดยการตั้งค่าที่เหมาะสมจะช่วยให้โฆษณาของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม และสามารถติดตามผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ นี่คือขั้นตอนที่ควรพิจารณา
1. กำหนดตำแหน่งที่โฆษณาจะแสดง
- เลือกตำแหน่งที่คุณต้องการให้โฆษณาของคุณปรากฏ เช่น บนหน้าผลการค้นหาของ Google (Search Network) บนเว็บไซต์ในเครือข่ายของ Google (Display Network) หรือบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น YouTube, Facebook หรือ Instagram
- คุณสามารถกำหนดพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่คุณต้องการให้โฆษณาปรากฏ เช่น การเลือกประเทศ เมือง หรือระยะทางจากสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อให้โฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในพื้นที่ที่ต้องการ
2. ตั้งค่าเวลาที่ต้องการให้โฆษณาแสดง
- กำหนดช่วงเวลาที่คุณต้องการให้โฆษณาแสดง เช่น ระบุวันและเวลาที่ต้องการให้โฆษณาปรากฏบนออนไลน์ คุณสามารถเลือกเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เช่น เวลาทำงานหรือช่วงเวลาที่ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณมากที่สุด
- การตั้งเวลาแสดงโฆษณา (Ad Scheduling) ยังสามารถช่วยในการควบคุมงบประมาณโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเลือกเวลาที่เหมาะสมที่สุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ
3. ตั้งค่าการติดตามผล (Conversion Tracking) เพื่อติดตามผลลัพธ์ของโฆษณา
- การติดตามผล (Conversion Tracking) เป็นการตั้งค่าที่สำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถวัดผลลัพธ์ของโฆษณาได้ เช่น การคลิกเข้าชมเว็บไซต์ การซื้อสินค้า การกรอกฟอร์ม หรือลงทะเบียน
- คุณสามารถติดตั้งโค้ดติดตามผลลัพธ์บนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณเพื่อให้สามารถวัดผลการกระทำที่สำคัญได้ (Conversions) ซึ่งจะช่วยให้คุณประเมินผลการลงทุน (ROI) และปรับปรุงแคมเปญโฆษณาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการติดตามผลทำงานได้อย่างถูกต้อง โดยทดสอบการติดตามผลหลังจากตั้งค่าแล้ว
การตั้งค่าโฆษณาที่ดีจะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมในเวลาที่ถูกต้อง และสามารถวัดผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำเพื่อปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่อง
8. การตรวจสอบและปรับปรุงโฆษณา (Monitoring & Optimization)
การตรวจสอบและปรับปรุงโฆษณา (Monitoring & Optimization) เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำให้แคมเปญโฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการติดตามผลลัพธ์และทำการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่ม ROI และทำให้โฆษณาของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือขั้นตอนหลักในการตรวจสอบและปรับปรุงโฆษณา
1. ติดตามผลลัพธ์ของโฆษณาอย่างต่อเนื่อง
- การคลิก (Click-Through Rate, CTR): ตรวจสอบจำนวนการคลิกที่โฆษณาของคุณได้รับต่อจำนวนการแสดงผล (impressions) ค่าของ CTR ที่สูงบ่งบอกว่าโฆษณาของคุณมีความน่าสนใจและดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้ดี
- การแปลง (Conversion Rate, CR): วัดเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่คลิกโฆษณาแล้วทำการกระทำที่คุณต้องการ เช่น การซื้อสินค้าหรือการกรอกฟอร์ม การติดตามการแปลงช่วยให้คุณรู้ว่าโฆษณาของคุณมีความสามารถในการกระตุ้นการกระทำที่ต้องการได้ดีเพียงใด
2. ปรับแต่งคำหลัก, ข้อความโฆษณา, และกลุ่มเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- คำหลัก: ตรวจสอบประสิทธิภาพของคำหลักที่คุณใช้ในแคมเปญและปรับแต่งตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและแนวโน้มการค้นหา ตัวอย่างเช่น หากคำหลักบางคำมี CTR ต่ำ คุณอาจต้องพิจารณาการเปลี่ยนคำหลักหรือเพิ่มคำหลักใหม่
- ข้อความโฆษณา: ปรับปรุงข้อความโฆษณาเพื่อให้ดึงดูดความสนใจและตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย อาจทดลอง A/B Testing โดยสร้างหลายเวอร์ชันของโฆษณาเพื่อตรวจสอบว่าข้อความใดทำงานได้ดีที่สุด
- กลุ่มเป้าหมาย: ปรับแต่งการตั้งค่ากลุ่มเป้าหมาย เช่น เพศ อายุ ความสนใจ และพฤติกรรม เพื่อให้โฆษณาของคุณเข้าถึงกลุ่มที่มีโอกาสสูงที่สุดในการทำการแปลง
3. ใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์เพื่อทำการปรับปรุง
- ใช้ข้อมูลที่ได้จากการติดตามผลลัพธ์เพื่อระบุแนวโน้มและปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น หากมีอัตราการคลิกต่ำ อาจต้องพิจารณาปรับปรุงคุณภาพของโฆษณาหรือคำหลัก
- การวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้รับช่วยให้คุณทำการตัดสินใจที่ดีขึ้นในการปรับปรุงแคมเปญ เช่น การเพิ่มงบประมาณในกลุ่มคำหลักที่มีผลดีหรือการลดงบประมาณในกลุ่มที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ
การติดตามและปรับปรุงโฆษณาอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้แคมเปญของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น