ผู้ให้บริการด้าน Social Media Marketing อันดับ 1

เทคนิคลงโฆษณา Google ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทำได้อย่างไร ?

เทคนิคลงโฆษณา Google ให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายทำได้อย่างไร ?
การลงโฆษณาบน Google (Google Ads) ถือเป็นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขวางและตรงกลุ่มเป้าหมาย ด้วยเทคนิคลงโฆษณา Google และขั้นตอนที่เหมาะสม คุณสามารถสร้างโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ SocialIn.One จะมาแนะนำเทคนิคลงโฆษณา Google เบื้องต้นในการลงโฆษณา Google Ads กัน

เทคนิคลงโฆษณา Google คุ้มทุกการลงทุน

1. กำหนดวัตถุประสงค์ของโฆษณา

การกำหนดวัตถุประสงค์ของโฆษณาบน Google Ads มีความสำคัญต่อการเลือกกลยุทธ์และวิธีการที่เหมาะสมกับเป้าหมายที่ต้องการบรรลุ วัตถุประสงค์แต่ละอย่างมีลักษณะเฉพาะและแนวทางการทำงานที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1. การสร้างความตระหนักรู้ในแบรนด์ (Brand Awareness)

  • วัตถุประสงค์: เพื่อให้ผู้คนรู้จักและจดจำแบรนด์ของคุณมากขึ้น
  • วิธีการ: ใช้โฆษณาแบบ Display หรือ Video เพื่อให้คนเห็นแบรนด์ของคุณในวงกว้าง โดยเน้นไปที่การเข้าถึง (Reach) และจำนวนครั้งที่ผู้ใช้เห็นโฆษณา (Impressions)
  • กลยุทธ์: เน้นการสร้างภาพลักษณ์ที่จดจำได้ง่าย ใช้ข้อความที่สั้นและมีผลต่อความรู้สึก ใช้ภาพหรือวิดีโอที่น่าสนใจ

2. เพิ่มยอดขาย (Sales)

  • วัตถุประสงค์: กระตุ้นให้เกิดการซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการจากกลุ่มเป้าหมาย
  • วิธีการ: ใช้โฆษณาแบบ Search หรือ Shopping Ads ที่ตรงกับคำหลักที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่ขาย
  • กลยุทธ์: เน้นการใช้คำกระตุ้นการตัดสินใจ (Call to Action) ที่ชัดเจนและเน้นผลประโยชน์ของผลิตภัณฑ์หรือบริการ เช่น โปรโมชั่น, ส่วนลด, การจัดส่งฟรี

3. กระตุ้นการเข้าชมเว็บไซต์ (Website Traffic)

  • วัตถุประสงค์: เพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์เพื่อเพิ่มโอกาสในการขายหรือการสมัครสมาชิก
  • วิธีการ: ใช้โฆษณาแบบ Search, Display, หรือ Discovery ที่เชื่อมต่อกับหน้าเว็บไซต์
  • กลยุทธ์: ใช้คำหลักที่ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย สร้างโฆษณาที่เกี่ยวข้องและดึงดูดให้ผู้ใช้คลิกเข้าชมเว็บไซต์

4. เพิ่มจำนวนการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน (App Installs)

  • วัตถุประสงค์: กระตุ้นให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันของคุณ
  • วิธีการ: ใช้ App Campaigns ที่เน้นการโปรโมทแอปบน Google Play Store และ Apple App Store
  • กลยุทธ์: ใช้ข้อความโฆษณาที่บ่งบอกถึงคุณค่าและประโยชน์ของแอปพลิเคชัน พร้อมกับ Call to Action ที่ชัดเจน เช่น “ดาวน์โหลดตอนนี้”

การเลือกวัตถุประสงค์ที่ถูกต้องจะช่วยให้แคมเปญโฆษณามีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการของธุรกิจได้มากขึ้น

2. เลือกประเภทของโฆษณา

การเลือกประเภทของโฆษณาขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ ลองพิจารณาดังนี้

  • Search Ads: เหมาะสำหรับการเข้าถึงลูกค้าที่กำลังค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ช่วยให้คุณดึงดูดผู้ใช้ที่มีความสนใจอยู่แล้ว และเพิ่มโอกาสในการขาย
  • Display Ads: เหมาะสำหรับการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) โดยแสดงโฆษณาในรูปภาพหรือวิดีโอบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
  • Video Ads: เหมาะสำหรับการดึงดูดความสนใจด้วยเนื้อหาที่เป็นวิดีโอ เช่น บน YouTube ใช้ได้ดีสำหรับการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์หรือโปรโมทสินค้าใหม่ ๆ
  • Shopping Ads: เหมาะสำหรับธุรกิจที่ขายผลิตภัณฑ์ที่จับต้องได้ (Physical Products) ช่วยให้ลูกค้าเห็นภาพสินค้า ราคา และข้อมูลสำคัญก่อนที่จะคลิกเข้าไปที่เว็บไซต์ของคุณ
  • App Campaigns: เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการโปรโมทแอปพลิเคชัน ช่วยเพิ่มการดาวน์โหลดและการใช้งานแอป

ถ้าเป้าหมายของคุณคือการเพิ่มการค้นหาและขายสินค้าหรือบริการ Search Ads และ Shopping Ads อาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณต้องการสร้างการรับรู้และให้คนรู้จักแบรนด์มากขึ้น Display Ads หรือ Video Ads ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ

3. เลือกกลุ่มเป้าหมาย (Audience Targeting)

การเลือกกลุ่มเป้าหมายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของแคมเปญและความเข้าใจในลูกค้าของคุณ ดังนี้

  • เลือกกลุ่มเป้าหมายตามประชากรศาสตร์ (Demographic Targeting): เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มคนในช่วงอายุ เพศ หรือที่ตั้งที่เฉพาะเจาะจง เช่น หากคุณขายผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผู้หญิงอายุ 25-34 ปี ที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายนี้ได้โดยตรง
  • การกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมและความสนใจ (Behavioral and Interest Targeting): เหมาะสำหรับการเข้าถึงผู้ที่แสดงความสนใจหรือมีพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณขายอุปกรณ์ออกกำลังกาย คุณอาจเลือกกลุ่มคนที่มีความสนใจในฟิตเนสและสุขภาพ
  • รีมาร์เก็ตติ้ง (Remarketing): เหมาะสำหรับการกระตุ้นให้ผู้ที่เคยเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณกลับมาดำเนินการบางอย่าง เช่น การซื้อสินค้า รีมาร์เก็ตติ้งมีประสิทธิภาพในการเพิ่ม Conversion เพราะผู้ใช้เหล่านี้มักจะคุ้นเคยกับแบรนด์หรือสินค้าของคุณแล้ว

คุณอาจเลือกใช้หลายกลุ่มเป้าหมายพร้อมกันเพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าที่ตรงกับเป้าหมายของคุณมากที่สุด เช่น การใช้รีมาร์เก็ตติ้งร่วมกับการกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมและความสนใจเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการทำโฆษณา

Google

4. กำหนดงบประมาณและการเสนอราคา (Budget & Bidding)

การกำหนดงบประมาณและรูปแบบการเสนอราคาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารจัดการแคมเปญโฆษณาออนไลน์ นี่คือขั้นตอนและข้อแนะนำ

1. กำหนดงบประมาณรายวันหรือรายเดือน:

  • งบประมาณรายวัน: เหมาะสำหรับแคมเปญที่ต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายในแต่ละวันอย่างใกล้ชิด คุณสามารถกำหนดจำนวนเงินสูงสุดที่คุณต้องการจ่ายในแต่ละวัน ซึ่งจะช่วยให้คุณไม่เกินงบประมาณที่ตั้งไว้
  • งบประมาณรายเดือน: เหมาะสำหรับแคมเปญที่มีการดำเนินการระยะยาว งบประมาณจะถูกกระจายไปในแต่ละวันตลอดทั้งเดือน โดยเฉลี่ยแล้วคุณจะจ่ายตามงบประมาณที่ตั้งไว้ในแต่ละเดือน

2. เลือกรูปแบบการเสนอราคา (Bidding Strategy)

  • การเสนอราคาตามจำนวนคลิก (Cost Per Click – CPC): เหมาะสำหรับแคมเปญที่ต้องการดึงดูดการคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ คุณจะจ่ายเมื่อมีคนคลิกที่โฆษณาของคุณเท่านั้น รูปแบบนี้เหมาะสำหรับการเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์
  • การเสนอราคาตามการแสดงผล (Cost Per Thousand Impressions – CPM): เหมาะสำหรับแคมเปญที่เน้นการสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) คุณจะจ่ายเมื่อโฆษณาของคุณถูกแสดง 1,000 ครั้ง ไม่ว่าผู้ใช้จะคลิกหรือไม่
  • การเสนอราคาตามการกระทำ (Cost Per Action – CPA): เหมาะสำหรับแคมเปญที่มุ่งเน้นการเพิ่ม Conversion เช่น การซื้อสินค้า การลงทะเบียน หรือการกรอกแบบฟอร์ม คุณจะจ่ายเมื่อมีการกระทำที่เฉพาะเจาะจงเกิดขึ้น

ข้อแนะนำ

  • เริ่มต้นด้วยงบประมาณเล็ก ๆ และทดสอบรูปแบบการเสนอราคาต่าง ๆ เพื่อดูว่าแบบใดให้ผลลัพธ์ดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ
  • ถ้าเป้าหมายของคุณคือการเพิ่มยอดขายหรือ Conversion การเสนอราคาตามการกระทำ (CPA) อาจเหมาะสมที่สุด
  • ถ้าคุณต้องการสร้างการรับรู้ในวงกว้างและไม่เน้น Conversion มากนัก การเสนอราคาตามการแสดงผล (CPM) อาจเป็นตัวเลือกที่ดี

การกำหนดงบประมาณและรูปแบบการเสนอราคาที่เหมาะสมจะช่วยให้คุณใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวัง

5. สร้างข้อความโฆษณา (Ad Copy)

การสร้างข้อความโฆษณาที่ดึงดูดใจและมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้แคมเปญโฆษณาของคุณประสบความสำเร็จ นี่คือแนวทางในการเขียนข้อความโฆษณา

1. เขียนข้อความโฆษณาที่ดึงดูดใจ

  • ใช้ภาษาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย: คำนึงถึงความรู้สึกและปัญหาของกลุ่มเป้าหมาย พูดถึงประโยชน์ที่พวกเขาจะได้รับจากสินค้าหรือบริการของคุณ
  • เน้นความพิเศษหรือความแตกต่าง: ชูจุดเด่นที่ทำให้สินค้าหรือบริการของคุณเหนือกว่าคู่แข่ง เช่น ส่วนลดพิเศษ คุณภาพที่ดีที่สุด หรือบริการที่รวดเร็ว

2. ใช้คำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและมีความหมายตรงกับความต้องการของผู้ใช้

  • เน้นคีย์เวิร์ดสำคัญ: รวมคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณและตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้กำลังค้นหา เช่น หากคุณขายผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ คำว่า “สุขภาพดี”, “ลดน้ำหนัก”, “พลังงาน” อาจเป็นคำที่น่าสนใจ
  • ตรงประเด็น: ข้อความควรชัดเจนและตรงประเด็น ไม่ควรยาวเกินไปหรือมีเนื้อหาที่ไม่จำเป็น

3. เพิ่มคำกระตุ้นการตัดสินใจ (Call to Action – CTA)

  • ใช้คำกระตุ้นที่ชัดเจนและกระตุ้นให้ผู้ใช้ดำเนินการ เช่น “ซื้อเลย”, “สมัครสมาชิกวันนี้”, “ดูรายละเอียดเพิ่มเติม”, “รับข้อเสนอพิเศษ”
  • ให้ผู้ใช้รู้ว่าพวกเขาจะได้อะไรถ้าคลิกที่โฆษณา เช่น “รับส่วนลด 20% เมื่อสั่งซื้อครั้งแรก”, “ดาวน์โหลดฟรี”

การเลือกคำที่ถูกต้องและการวางคำกระตุ้นการตัดสินใจที่โดดเด่นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการที่ผู้ใช้จะคลิกและดำเนินการตามที่คุณต้องการ

6. การเลือกคำหลัก (Keyword Selection)

การเลือกคำหลัก (Keyword Selection) เป็นขั้นตอนสำคัญในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำ SEO และการโฆษณาแบบ Pay-Per-Click (PPC) การเลือกคำหลักที่เหมาะสมสามารถเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือขั้นตอนในการเลือกคำหลัก

1. เลือกคำหลักที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ

  • เริ่มต้นด้วยการระบุคำหลักที่สะท้อนถึงสิ่งที่ธุรกิจของคุณนำเสนอ โดยพิจารณาจากคำที่ลูกค้ามักใช้ค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คล้ายกัน
  • นึกถึงคำหลักที่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า เช่น คำถามที่ลูกค้าถามบ่อยหรือปัญหาที่ผลิตภัณฑ์ของคุณสามารถแก้ไขได้

2. ใช้เครื่องมือ Keyword Planner เพื่อค้นหาคำหลักที่มีประสิทธิภาพ

  • ใช้เครื่องมืออย่าง Google Keyword Planner หรือเครื่องมือวิเคราะห์คำหลักอื่น ๆ เพื่อค้นหาคำหลักที่เกี่ยวข้องและตรวจสอบข้อมูลทางสถิติ เช่น ปริมาณการค้นหาและการแข่งขัน
  • เครื่องมือเหล่านี้สามารถช่วยคุณระบุคำหลักใหม่ ๆ ที่คุณอาจไม่ได้นึกถึง และสามารถช่วยประเมินประสิทธิภาพของคำหลักต่าง ๆ ได้

3. เลือกคำหลักที่มีปริมาณการค้นหาสูงและมีความเกี่ยวข้อง

  • มองหาคำหลักที่มีปริมาณการค้นหาสูง เนื่องจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการที่ผู้ใช้ค้นหามาพบเจอเว็บไซต์ของคุณ
  • อย่าลืมคำนึงถึงความเกี่ยวข้องด้วย เพราะคำหลักที่มีปริมาณการค้นหาสูงแต่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณอาจไม่ได้ช่วยเพิ่มยอดขายหรือการเข้าชมที่มีคุณภาพ
  • พิจารณาคำหลักที่มีการแข่งขันต่ำหรือปานกลางสำหรับการเริ่มต้น เพื่อให้มีโอกาสสูงขึ้นในการจัดอันดับในหน้าแรกของผลการค้นหา

การเลือกคำหลักที่ถูกต้องจะช่วยให้แคมเปญการตลาดออนไลน์ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้เยี่ยมชมที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมเป็นลูกค้า

ลงโฆษณา Google

7. การตั้งค่าโฆษณา (Ad Setup)

การตั้งค่าโฆษณา (Ad Setup) เป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างแคมเปญโฆษณาที่มีประสิทธิภาพ โดยการตั้งค่าที่เหมาะสมจะช่วยให้โฆษณาของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม และสามารถติดตามผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ นี่คือขั้นตอนที่ควรพิจารณา

1. กำหนดตำแหน่งที่โฆษณาจะแสดง

  • เลือกตำแหน่งที่คุณต้องการให้โฆษณาของคุณปรากฏ เช่น บนหน้าผลการค้นหาของ Google (Search Network) บนเว็บไซต์ในเครือข่ายของ Google (Display Network) หรือบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น YouTube, Facebook หรือ Instagram
  • คุณสามารถกำหนดพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่คุณต้องการให้โฆษณาปรากฏ เช่น การเลือกประเทศ เมือง หรือระยะทางจากสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง เพื่อให้โฆษณาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ในพื้นที่ที่ต้องการ

2. ตั้งค่าเวลาที่ต้องการให้โฆษณาแสดง

  • กำหนดช่วงเวลาที่คุณต้องการให้โฆษณาแสดง เช่น ระบุวันและเวลาที่ต้องการให้โฆษณาปรากฏบนออนไลน์ คุณสามารถเลือกเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย เช่น เวลาทำงานหรือช่วงเวลาที่ลูกค้ามีแนวโน้มที่จะค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณมากที่สุด
  • การตั้งเวลาแสดงโฆษณา (Ad Scheduling) ยังสามารถช่วยในการควบคุมงบประมาณโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเลือกเวลาที่เหมาะสมที่สุดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ

3. ตั้งค่าการติดตามผล (Conversion Tracking) เพื่อติดตามผลลัพธ์ของโฆษณา

  • การติดตามผล (Conversion Tracking) เป็นการตั้งค่าที่สำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถวัดผลลัพธ์ของโฆษณาได้ เช่น การคลิกเข้าชมเว็บไซต์ การซื้อสินค้า การกรอกฟอร์ม หรือลงทะเบียน
  • คุณสามารถติดตั้งโค้ดติดตามผลลัพธ์บนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณเพื่อให้สามารถวัดผลการกระทำที่สำคัญได้ (Conversions) ซึ่งจะช่วยให้คุณประเมินผลการลงทุน (ROI) และปรับปรุงแคมเปญโฆษณาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
  • ตรวจสอบให้แน่ใจว่าการติดตามผลทำงานได้อย่างถูกต้อง โดยทดสอบการติดตามผลหลังจากตั้งค่าแล้ว

การตั้งค่าโฆษณาที่ดีจะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมในเวลาที่ถูกต้อง และสามารถวัดผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำเพื่อปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่อง

8. การตรวจสอบและปรับปรุงโฆษณา (Monitoring & Optimization)

การตรวจสอบและปรับปรุงโฆษณา (Monitoring & Optimization) เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำให้แคมเปญโฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยการติดตามผลลัพธ์และทำการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจะช่วยเพิ่ม ROI และทำให้โฆษณาของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือขั้นตอนหลักในการตรวจสอบและปรับปรุงโฆษณา

1. ติดตามผลลัพธ์ของโฆษณาอย่างต่อเนื่อง

  • การคลิก (Click-Through Rate, CTR): ตรวจสอบจำนวนการคลิกที่โฆษณาของคุณได้รับต่อจำนวนการแสดงผล (impressions) ค่าของ CTR ที่สูงบ่งบอกว่าโฆษณาของคุณมีความน่าสนใจและดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมายได้ดี
  • การแปลง (Conversion Rate, CR): วัดเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่คลิกโฆษณาแล้วทำการกระทำที่คุณต้องการ เช่น การซื้อสินค้าหรือการกรอกฟอร์ม การติดตามการแปลงช่วยให้คุณรู้ว่าโฆษณาของคุณมีความสามารถในการกระตุ้นการกระทำที่ต้องการได้ดีเพียงใด

2. ปรับแต่งคำหลัก, ข้อความโฆษณา, และกลุ่มเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

  • คำหลัก: ตรวจสอบประสิทธิภาพของคำหลักที่คุณใช้ในแคมเปญและปรับแต่งตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและแนวโน้มการค้นหา ตัวอย่างเช่น หากคำหลักบางคำมี CTR ต่ำ คุณอาจต้องพิจารณาการเปลี่ยนคำหลักหรือเพิ่มคำหลักใหม่
  • ข้อความโฆษณา: ปรับปรุงข้อความโฆษณาเพื่อให้ดึงดูดความสนใจและตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย อาจทดลอง A/B Testing โดยสร้างหลายเวอร์ชันของโฆษณาเพื่อตรวจสอบว่าข้อความใดทำงานได้ดีที่สุด
  • กลุ่มเป้าหมาย: ปรับแต่งการตั้งค่ากลุ่มเป้าหมาย เช่น เพศ อายุ ความสนใจ และพฤติกรรม เพื่อให้โฆษณาของคุณเข้าถึงกลุ่มที่มีโอกาสสูงที่สุดในการทำการแปลง

3. ใช้ข้อมูลจากการวิเคราะห์เพื่อทำการปรับปรุง

  • ใช้ข้อมูลที่ได้จากการติดตามผลลัพธ์เพื่อระบุแนวโน้มและปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น หากมีอัตราการคลิกต่ำ อาจต้องพิจารณาปรับปรุงคุณภาพของโฆษณาหรือคำหลัก
  • การวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่ได้รับช่วยให้คุณทำการตัดสินใจที่ดีขึ้นในการปรับปรุงแคมเปญ เช่น การเพิ่มงบประมาณในกลุ่มคำหลักที่มีผลดีหรือการลดงบประมาณในกลุ่มที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ

การติดตามและปรับปรุงโฆษณาอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้แคมเปญของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุดและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น

บทส่งท้าย

การลงโฆษณา Google Ads เป็นกระบวนการที่ต้องการการทดลองและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การวิเคราะห์และเข้าใจข้อมูลที่ได้รับจากโฆษณารวมถึงมีเทคนิคลงโฆษณา Google จะช่วยให้สามารถปรับแต่งแคมเปญให้ตรงกับเป้าหมายของธุรกิจได้มากขึ้น
บริการปั้มไลค์ เพิ่มผู้ติดตาม ปั้มยอดวิว มีครบจบที่ Auto-Like.co

แชร์:

ความคิดเห็น:

หัวข้อเรื่อง