ผู้ให้บริการด้าน Social Media Marketing อันดับ 1

การทำ Image SEO ติดอันดับ Google มีหลักการอย่างไร ?

การทำ Image SEO ติดอันดับ Google มีหลักการอย่างไร ?
การทำ Image SEO เพื่อเป้าหมายการติดอันดับหน้าแรก Google ถือว่ามีความสำคัญไม่ใช่น้อย ไม่ต่างจากการทำคอนเทนท์เนื้อหาเลย โดยการจะทำอย่างไรให้เว็บไซต์ที่เราทำ เติบโตไปติดอันดับได้นั้น มีหลักการที่ควรรู้ ซึ่งทาง SocialIn.One ได้คัดสรรเทคนิควิธีการทั้งหมดมาไว้ให้แล้ว ไปติดตามกันเลย

การทำ Image SEO มีหลักการปรับแต่งเว็บไซต์อย่างไรบ้าง ?

การทำ Image SEO (Search Engine Optimization) ให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน (User-friendly) เป็นการปรับแต่งรูปภาพให้ค้นหาง่ายขึ้นบนเสิร์ชเอ็นจิน พร้อมทั้งเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานในเว็บไซต์ของคุณด้วย วิธีการมีดังนี้

1. เลือกชื่อไฟล์รูปภาพให้เหมาะสม

การตั้งชื่อไฟล์รูปภาพให้เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะหากคุณต้องการจัดการไฟล์อย่างมีประสิทธิภาพหรือช่วยในการค้นหาไฟล์ได้ง่ายขึ้นในภายหลัง นี่คือคำแนะนำเพิ่มเติมในการเลือกชื่อไฟล์รูปภาพ

1. สื่อความหมาย: ใช้คำที่บ่งบอกเนื้อหาของภาพ เช่น อาหาร-ไทย.jpg, พระอาทิตย์ตก-ชายหาด.jpg หรือ งานเลี้ยงบริษัท-2023.jpg แทนที่จะใช้ชื่อไฟล์ที่ไม่มีความหมายอย่าง IMG_1234.jpg

2. คีย์เวิร์ด: ใส่คำหลักหรือคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา เช่น อาหาร-ไทย-ผัดไทย.jpg หรือ งานแต่งงาน-เชียงใหม่-2024.jpg เพื่อช่วยให้ค้นหาได้ง่ายขึ้น

3. ใช้ภาษาเดียวกัน: เลือกใช้ภาษาเดียวกันในชื่อไฟล์ เพื่อความสม่ำเสมอ เช่น ใช้ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษทั้งหมด ไม่ควรผสมกันในชื่อไฟล์เดียวกัน

4. หลีกเลี่ยงการใช้ช่องว่าง: ใช้ขีดกลาง – หรือขีดล่าง _ แทนการเว้นวรรค เช่น อาหาร_ไทย.jpg แทนที่จะใช้ อาหาร ไทย.jpg

5. อย่าใช้ตัวอักษรพิเศษ: หลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรพิเศษ เช่น #, &, หรือ @ ในชื่อไฟล์ เพราะอาจทำให้เกิดปัญหากับระบบบางระบบ

การใช้แนวทางเหล่านี้จะช่วยให้คุณจัดการกับไฟล์รูปภาพได้ดีขึ้นและเพิ่มโอกาสในการค้นหาภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพในภายหลัง

2. ใช้ Alt Text อย่างถูกต้อง

การเขียน Alt Text ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพสามารถช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับเสิร์ชเอ็นจินและเข้าถึงได้มากขึ้นสำหรับผู้ที่มีความบกพร่องทางสายตา นี่คือหลักการในการเขียน Alt Text ที่ดี

1. สั้นและกระชับ: ใช้คำอธิบายที่สั้นและตรงประเด็น ไม่จำเป็นต้องเขียนยาวเกินไป ควรประมาณ 5-15 คำ

2. อธิบายภาพอย่างชัดเจน: อธิบายว่าสิ่งที่อยู่ในภาพคืออะไร หากเป็นภาพที่มีเนื้อหาสำคัญ ให้สื่อสารข้อมูลสำคัญนั้นอย่างชัดเจน

3. ใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง: รวมคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในภาพหรือหน้าเว็บ แต่ไม่ควรยัดเยียดจนเกินไป

4. ไม่ต้องใส่คำว่า “รูปภาพของ…”: เสิร์ชเอ็นจินและโปรแกรมอ่านหน้าจอเข้าใจว่า Alt Text เป็นคำอธิบายของภาพอยู่แล้ว จึงไม่ต้องใส่คำนี้

5. ใส่ใจบริบท: หากภาพมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาบริบทโดยรวม ควรใส่ข้อมูลนั้นเข้าไปใน Alt Text เพื่อให้มีความหมายมากขึ้น

ตัวอย่างการเขียน Alt Text ที่ดี

  • ภาพสินค้าบนเว็บไซต์ขายของ: เสื้อเชิ้ตลายสก็อตสีแดงสำหรับผู้ชาย
  • ภาพวิวทิวทัศน์: พระอาทิตย์ตกดินที่ชายหาดพร้อมคลื่นทะเลเล็กๆ

การใช้ Alt Text อย่างเหมาะสมไม่เพียงช่วยปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ แต่ยังทำให้เว็บไซต์ของคุณสามารถเข้าถึงได้สำหรับทุกคน

3. ลดขนาดไฟล์ภาพให้เหมาะสม

การลดขนาดไฟล์ภาพเป็นสิ่งสำคัญเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์ ทั้งในเรื่องของความเร็วในการโหลดและประสบการณ์ของผู้ใช้ นอกจากนี้ยังมีผลดีต่อ SEO ของเว็บไซต์ด้วย

เครื่องมือที่แนะนำในการลดขนาดไฟล์ภาพ

1. TinyPNG: เครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยบีบอัดภาพในรูปแบบ PNG และ JPEG โดยที่ภาพยังคงคุณภาพสูง

  • ใช้งานง่าย เพียงแค่ลากและวางไฟล์ภาพลงในหน้าเว็บ จากนั้นดาวน์โหลดภาพที่บีบอัดแล้ว
  • เหมาะสำหรับการบีบอัดภาพหลายๆ ภาพพร้อมกัน

2. ImageOptim: โปรแกรมที่ทำงานบนระบบ macOS ที่สามารถบีบอัดภาพโดยอัตโนมัติ โดยจะลดขนาดไฟล์โดยไม่ลดคุณภาพของภาพ

  • มีการปรับแต่งที่หลากหลาย ช่วยให้คุณสามารถเลือกวิธีการบีบอัดที่เหมาะสมกับความต้องการ
  • รองรับหลายรูปแบบไฟล์ เช่น PNG, JPEG, GIF

3. Squoosh: เครื่องมือออนไลน์ที่พัฒนาโดย Google ที่มีฟีเจอร์มากมาย รวมถึงการบีบอัดภาพและการปรับขนาด

  • คุณสามารถเลือกวิธีการบีบอัดที่ต้องการ เช่น MozJPEG หรือ WebP
  • ให้คุณเปรียบเทียบภาพก่อนและหลังการบีบอัดได้

การลดขนาดไฟล์ภาพที่เหมาะสมจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วขึ้น ลดการใช้แบนด์วิดท์ และเพิ่มประสิทธิภาพ SEO ได้อย่างมีนัยสำคัญ

Image SEO

4. เลือกรูปแบบไฟล์ที่เหมาะสม

การเลือกรูปแบบไฟล์ที่เหมาะสมกับภาพสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและคุณภาพของงานได้ นี่คือแนวทางในการเลือกรูปแบบไฟล์ที่เหมาะสม

1. JPEG (Joint Photographic Experts Group)

  • ข้อดี: ขนาดไฟล์เล็ก เหมาะสำหรับภาพถ่ายหรือภาพที่มีการไล่สีเยอะ
  • ข้อเสีย: สูญเสียคุณภาพเมื่อบีบอัด ไม่เหมาะสำหรับภาพที่ต้องการความคมชัดสูงหรือมีรายละเอียดเยอะ
  • ตัวอย่างการใช้งาน: ภาพถ่าย, ภาพที่ต้องการแชร์บนอินเทอร์เน็ต

2. PNG (Portable Network Graphics)

  • ข้อดี: สนับสนุนความโปร่งใส (transparency) และมีคุณภาพสูง (lossless compression)
  • ข้อเสีย: ขนาดไฟล์ใหญ่กว่า JPEG
  • ตัวอย่างการใช้งาน: ภาพที่มีพื้นหลังโปร่งใส, โลโก้, ภาพที่ต้องการความคมชัดสูง

3. SVG (Scalable Vector Graphics)

  • ข้อดี: สามารถปรับขนาดได้โดยไม่สูญเสียความคมชัด (vector graphics) เหมาะสำหรับภาพกราฟิกหรือไอคอน
  • ข้อเสีย: ไม่เหมาะสำหรับภาพถ่ายหรือภาพที่มีการไล่สีเยอะ
  • ตัวอย่างการใช้งาน: ไอคอน, โลโก้, แผนภูมิ, กราฟิกที่ต้องการความคมชัดสูงและปรับขนาดได้

4. GIF (Graphics Interchange Format)

  • ข้อดี: รองรับการเคลื่อนไหว (animations) และโปร่งใส (transparency)
  • ข้อเสีย: สีจำกัดที่ 256 สี
  • ตัวอย่างการใช้งาน: ภาพเคลื่อนไหวสั้นๆ, ไอคอนที่มีการกระพริบ

5. TIFF (Tagged Image File Format)

  • ข้อดี: คุณภาพสูง (lossless compression) เหมาะสำหรับการเก็บภาพถ่ายที่ต้องการความคมชัดสูง
  • ข้อเสีย: ขนาดไฟล์ใหญ่ ไม่เหมาะสำหรับการใช้งานบนอินเทอร์เน็ต
  • ตัวอย่างการใช้งาน: การพิมพ์, การเก็บภาพถ่ายคุณภาพสูง

การเลือกใช้รูปแบบไฟล์ที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับลักษณะงานและความต้องการในด้านคุณภาพและขนาดไฟล์ของคุณ

5. จัดการขนาดภาพให้เหมาะสม

การจัดการขนาดภาพให้เหมาะสมบนหน้าเว็บสามารถทำได้หลายวิธี

1. ขนาดภาพที่เหมาะสม

  • ใช้ภาพขนาดเล็กสำหรับ Thumbnail หรือภาพที่แสดงในหน้าแรก
  • ใช้ภาพขนาดใหญ่สำหรับการแสดงในบทความหรือรายละเอียดเพิ่มเติม

2. ใช้ CSS

  • ใช้คุณสมบัติ CSS เช่น width, height, และ max-width เพื่อปรับขนาดภาพตามความต้องการ

3. ใช้ HTML

  • กำหนดขนาดของภาพในแท็ก โดยใช้แอตทริบิวต์ width และ height

4. การใช้ภาพที่เหมาะสม

  • ใช้ฟอร์แมตภาพที่เหมาะสม (เช่น JPEG สำหรับภาพที่มีรายละเอียดมาก, PNG สำหรับภาพที่มีพื้นหลังโปร่งใส)
  • พิจารณาใช้เทคนิคการบีบอัดภาพเพื่อให้ขนาดไฟล์เล็กลง โดยไม่ลดคุณภาพมากเกินไป

5. Responsive Images

  • ใช้ หรือ สำหรับการปรับขนาดภาพอัตโนมัติตามขนาดหน้าจอ

การใช้วิธีเหล่านี้ช่วยให้ภาพของคุณมีความเหมาะสมและโหลดได้เร็วขึ้น ซึ่งจะทำให้ประสบการณ์ของผู้ใช้ดีขึ้น

6. ใช้ Structured Data สำหรับภาพ

การใช้ Structured Data สำหรับภาพช่วยให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภาพสามารถสื่อสารกับเสิร์ชเอ็นจินได้อย่างชัดเจน โดยใช้ schema.org ซึ่งเป็นมาตรฐานที่แนะนำสำหรับการจัดโครงสร้างข้อมูลบนเว็บ นี่คือวิธีที่คุณสามารถใช้ Structured Data กับภาพ

1. เลือก Schema ที่เหมาะสม: ใช้ schema.org ของประเภท ImageObject หรือ MediaObject ซึ่งช่วยในการอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับภาพ เช่น URL, คำอธิบาย, และขนาด

2. ใส่ Structured Data ลงใน HTML

  • ใช้ JSON-LD: สะดวกและแยกจาก HTML ของหน้าเว็บ
  • ใช้ Microdata: ใส่ลงใน HTML โดยตรง
  • ใช้ RDFa: เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ได้

3. ตรวจสอบและทดสอบ: ใช้เครื่องมือของ Google เช่น Rich Results Test เพื่อตรวจสอบว่า Structured Data ของคุณถูกต้องและสามารถอ่านได้

4. อัปเดต Sitemap: รวมภาพที่ใช้ Structured Data ใน Sitemap ของเว็บไซต์เพื่อช่วยในการจัดทำดัชนี

การใช้ Structured Data จะช่วยให้เสิร์ชเอ็นจินเข้าใจภาพของคุณได้ดีขึ้นและสามารถปรับปรุงการจัดอันดับและการแสดงผลของภาพในผลการค้นหาได้

SEO

7. ทำให้รูปภาพเป็นมิตรกับการใช้งานบนมือถือ

เพื่อให้รูปภาพเป็นมิตรกับการใช้งานบนมือถือและโหลดได้เร็วขึ้น คุณสามารถใช้เทคนิคต่างๆ ดังนี้

1. ใช้ srcset และ sizes: ใช้แอตทริบิวต์ srcset ของแท็ก เพื่อกำหนดหลายขนาดของภาพที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่แตกต่างกัน และแอตทริบิวต์ sizes เพื่อบอกเบราว์เซอร์ว่าควรเลือกขนาดใดสำหรับขนาดหน้าจอที่แตกต่างกัน

2. ใช้ element: ใช้ element เพื่อเลือกภาพที่แตกต่างกันตามขนาดหน้าจอและรูปแบบของอุปกรณ์

3. ปรับขนาดและบีบอัดภาพ: ใช้เครื่องมือปรับขนาดและบีบอัดภาพ เช่น TinyPNG หรือ ImageOptim เพื่อลดขนาดไฟล์โดยไม่ลดทอนคุณภาพของภาพมากนัก

4. ใช้รูปแบบภาพที่ทันสมัย: ใช้รูปแบบภาพที่ทันสมัยเช่น WebP ซึ่งมักจะมีขนาดไฟล์เล็กกว่าพร้อมคุณภาพที่ดี

5. กำหนดขนาดภาพที่แน่นอน: ใช้ CSS เพื่อกำหนดขนาดภาพให้เหมาะสมกับพื้นที่ที่ภาพจะถูกแสดงบนหน้าจอ

การใช้เทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้ภาพของคุณสามารถแสดงผลได้ดีบนอุปกรณ์มือถือและช่วยให้หน้าเว็บโหลดได้เร็วขึ้น

8. สร้าง Sitemap สำหรับรูปภาพ

การสร้าง Sitemap สำหรับรูปภาพเป็นวิธีที่ดีในการช่วยให้เสิร์ชเอ็นจินสามารถค้นหาภาพบนเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น นี่คือขั้นตอนในการสร้าง Image Sitemap

1. เตรียมข้อมูล: รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับภาพที่คุณต้องการใส่ใน Sitemap ซึ่งจะรวมถึง URL ของภาพ, URL ของหน้าเว็บที่ภาพนั้นปรากฏ, และข้อมูลอื่นๆ เช่น ข้อความแสดงแทนภาพ (Alt text) หรือชื่อภาพ

2. บันทึกไฟล์: บันทึกไฟล์ XML ที่สร้างขึ้นด้วยนามสกุล .xml เช่น imagesitemap.xml

3. อัปโหลดไฟล์: อัปโหลดไฟล์ Sitemap ที่สร้างขึ้นไปยังเซิร์ฟเวอร์ของคุณในไดเรกทอรีหลักของเว็บไซต์

4. แจ้ง Google: ใช้ Google Search Console เพื่อส่ง Sitemap ของรูปภาพไปยัง Google โดยไปที่หน้า “Sitemaps” และเพิ่ม URL ของ Sitemap ของคุณ

5. ตรวจสอบและอัปเดต: ตรวจสอบผลการส่ง Sitemap และทำการอัปเดตตามความจำเป็น เช่น เพิ่มลิงก์ใหม่หรือลบลิงก์ที่ไม่ใช้งาน

การทำตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้ภาพของคุณถูกค้นพบและจัดทำดัชนีโดยเสิร์ชเอ็นจินได้ดีขึ้น

บทส่งท้าย

การทำ Image SEO ให้เป็นมิตรกับผู้ใช้งานไม่เพียงแต่ช่วยให้ภาพของคุณค้นหาเจอได้ง่ายขึ้นบนเสิร์ชเอ็นจิน แต่ยังช่วยเพิ่มประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้เว็บของคุณด้วย
บริการปั้มไลค์ เพิ่มผู้ติดตาม ปั้มยอดวิว มีครบจบที่ Auto-Like.co

แชร์:

ความคิดเห็น:

หัวข้อเรื่อง