ผู้ให้บริการด้าน Social Media Marketing อันดับ 1

E-A-T Factor คืออะไร ? ทำไมถึงควรมีในการทำ SEO

E-A-T Factor คืออะไร ? ทำไมถึงควรมีในการทำ SEO
การทำ SEO ตามหลักเกณฑ์ที่ Google ได้สร้างขึ้นมาอย่าง E-A-T Factor ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การจัดอันดับขึ้นสู่หน้าแรกได้ โดยรายละเอียดของ E-A-T Factor คืออะไร ? มีองค์ประกอบอะไรบ้างนั้น ติดตามไปพร้อมกันกับ SocialIn.One ได้เลย

E-A-T Factor คืออะไร ?

E-A-T ย่อมาจาก Expertise, Authoritativeness, and Trustworthiness ซึ่งเป็นปัจจัยที่ Google ใช้ในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์และเนื้อหาในเว็บไซต์ E-A-T Factor มีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่อาจมีผลกระทบต่อชีวิตของผู้คน เช่น เรื่องสุขภาพ การเงิน หรือกฎหมาย

องค์ประกอบของ E-A-T ประกอบด้วยอะไรบ้าง ?

E-A-T ย่อมาจาก Expertise (ความเชี่ยวชาญ), Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือ), และ Trustworthiness (ความไว้วางใจ) เป็นองค์ประกอบที่ Google ใช้ในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์และเนื้อหาในนั้น เพื่อจัดอันดับในผลการค้นหา (Search Engine Results Pages – SERPs) ทั้งสามองค์ประกอบนี้มีความสำคัญในการปรับปรุงคุณภาพและการมองเห็นของเนื้อหาออนไลน์ ดังนี้

1. Expertise (ความเชี่ยวชาญ)

หมายถึงระดับความรู้และทักษะในหัวข้อหรือสาขาที่กำลังเขียนถึง ผู้เขียนควรมีความเชี่ยวชาญและมีข้อมูลที่ถูกต้อง ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งในหัวข้อที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ, การเงิน, หรือชีวิตของผู้อ่าน (เช่นข้อมูลทางการแพทย์หรือกฎหมาย)

2. Authoritativeness (ความน่าเชื่อถือ)

หมายถึงความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์หรือผู้เขียนที่มีความเชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆ และได้รับการยอมรับจากผู้อื่น เนื้อหาที่มีความน่าเชื่อถือมักจะมีการอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือและได้รับการยอมรับ

3. Trustworthiness (ความไว้วางใจ)

หมายถึงความน่าเชื่อถือและความโปร่งใสของเว็บไซต์หรือผู้เขียน ซึ่งรวมถึงการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง, การรักษาความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ และการจัดการกับความคิดเห็นของผู้อ่านอย่างโปร่งใส

Google สร้างเกณฑ์ E-A-T ขึ้นมา เพื่ออะไร ?

Google สร้างเกณฑ์ E-A-T ขึ้นมาเพื่อปรับปรุงคุณภาพของผลการค้นหาและให้ข้อมูลที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน โดยเฉพาะในหัวข้อที่อาจมีผลกระทบสำคัญต่อชีวิตผู้คน เช่น สุขภาพ การเงิน และกฎหมาย สาเหตุที่ Google สร้างเกณฑ์ E-A-T ขึ้นมา มีดังนี้

1. ความน่าเชื่อถือของข้อมูล: เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ใช้งานจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องที่อาจส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของพวกเขา เช่น ข้อมูลทางการแพทย์ คำแนะนำทางการเงิน หรือข้อมูลทางกฎหมาย

2. การป้องกันการแพร่กระจายของข้อมูลผิดพลาด: ในยุคที่ข้อมูลสามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว การมีเกณฑ์ E-A-T จะช่วยลดการแพร่กระจายของข้อมูลที่ผิดพลาดหรือบิดเบือน ที่อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดหรือการตัดสินใจที่ไม่ถูกต้องของผู้ใช้

3. การเสริมสร้างความไว้วางใจ: การใช้เกณฑ์ E-A-T ช่วยสร้างความไว้วางใจในผลการค้นหาของ Google ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกมั่นใจว่าพวกเขากำลังได้รับข้อมูลที่มีคุณภาพสูงจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ

4. การส่งเสริมเนื้อหาคุณภาพ: การส่งเสริมเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงจากผู้เชี่ยวชาญและแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ จะช่วยให้ผลการค้นหาของ Google มีประโยชน์และมีคุณค่าแก่ผู้ใช้งานมากขึ้น

5. การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอินเทอร์เน็ต: ในยุคที่ข้อมูลและเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การมีเกณฑ์ E-A-T ช่วยให้ Google สามารถจัดการและประเมินคุณภาพของเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งหมดนี้เป็นเหตุผลที่ Google สร้างเกณฑ์ E-A-T ขึ้นมา เพื่อปรับปรุงคุณภาพของผลการค้นหาและเพิ่มความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ผู้ใช้งานได้รับ

E-A-T Factor

การทำเว็บไซต์ให้ผ่านคุณสมบัติตามเกณฑ์ E-A-T ทำอย่างไร ?

เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ E-A-T (Expertise, Authoritativeness, and Trustworthiness) ของ Google คุณสามารถปฏิบัติตามแนวทางดังนี้

1. Expertise (ความเชี่ยวชาญ)

  • สร้างเนื้อหาคุณภาพสูง: เนื้อหาควรถูกเขียนหรือผลิตโดยผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญ หรือประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ
  • นำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องและมีประโยชน์: เนื้อหาควรเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านและไม่มีความคลาดเคลื่อน
  • อัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ: ตรวจสอบและปรับปรุงเนื้อหาเพื่อให้ทันสมัยและถูกต้องอยู่เสมอ

2. Authoritativeness (ความมีอำนาจ)

  • แสดงข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียน: รวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียน เช่น ประวัติ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ เพื่อให้ผู้ใช้รู้สึกเชื่อถือ
  • การอ้างอิงแหล่งข้อมูล: ใช้แหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และมีชื่อเสียง เช่น การอ้างอิงงานวิจัย บทความทางวิชาการ หรือข้อมูลจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ
  • การเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่นที่น่าเชื่อถือ: ลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสามารถเสริมสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ

3. Trustworthiness (ความน่าเชื่อถือ)

  • ความโปร่งใสของข้อมูล: ให้ข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับเว็บไซต์และเนื้อหา รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินหรือเนื้อหาที่เป็นสปอนเซอร์
  • การรักษาความปลอดภัย: ใช้ HTTPS เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้และแสดงให้เห็นว่าเว็บไซต์ของคุณมีความน่าเชื่อถือ
  • นโยบายความเป็นส่วนตัว: แสดงนโยบายความเป็นส่วนตัวที่ชัดเจนและโปร่งใส เพื่อให้ผู้ใช้มั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล
  • การให้ข้อมูลติดต่อ: ให้ข้อมูลติดต่อที่ชัดเจน เช่น ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรืออีเมล เพื่อให้ผู้ใช้สามารถติดต่อคุณได้ง่าย

การจัดการเนื้อหาและการนำเสนอ

  • การออกแบบและประสบการณ์ผู้ใช้ (UX): การออกแบบเว็บไซต์ควรใช้งานง่ายและมีการจัดเรียงเนื้อหาอย่างชัดเจน
  • การตอบสนองต่อผู้ใช้: ให้บริการลูกค้าและการสนับสนุนผู้ใช้ที่ดี เช่น การตอบคำถามอย่างรวดเร็วและเป็นประโยชน์

การใช้สื่อและการตลาดดิจิทัล

  • การใช้สื่อสังคมออนไลน์: ใช้สื่อสังคมออนไลน์ในการเผยแพร่เนื้อหาและสร้างความน่าเชื่อถือ
  • การรีวิวและความคิดเห็น: สนับสนุนให้ผู้ใช้รีวิวและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ

การปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้าง E-A-T ของเว็บไซต์คุณ และเพิ่มโอกาสในการได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาของ Google

เว็บไซต์ที่ดีส่งผลต่อ SEO อย่างไร ?

เว็บไซต์ที่ออกแบบมาอย่างดีสามารถส่งผลต่อ SEO (Search Engine Optimization) ในหลายๆ ด้าน ดังนี้

1. การใช้งานที่ดีและประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience – UX): เว็บไซต์ที่มีการใช้งานที่ง่ายและประสบการณ์ที่ดีสำหรับผู้ใช้จะทำให้ผู้ใช้ใช้เวลาอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น และลดอัตราการกลับ (Bounce Rate) ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อ SEO

2. ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ (Page Load Speed): เว็บไซต์ที่โหลดเร็วจะช่วยปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้และเป็นปัจจัยสำคัญที่ Google นำมาใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์

3. การออกแบบที่ตอบสนอง (Responsive Design): การออกแบบเว็บไซต์ที่รองรับการใช้งานบนอุปกรณ์ต่างๆ เช่น มือถือ แท็บเล็ต และเดสก์ท็อปจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีบนทุกแพลตฟอร์มและช่วยปรับปรุงการจัดอันดับในผลการค้นหา

4. โครงสร้างของเว็บไซต์ (Site Structure): การจัดโครงสร้างเว็บไซต์ที่ดี เช่น การใช้ URL ที่เป็นมิตรกับผู้ใช้ (SEO-friendly URLs) การใช้แท็กหัวเรื่อง (Header Tags) อย่างเหมาะสม และการใช้ลิงก์ภายใน (Internal Links) ที่เป็นประโยชน์ จะช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์และช่วยปรับปรุง SEO

5. เนื้อหาที่มีคุณภาพและเหมาะสม (Quality Content): การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ มีความเป็นเอกลักษณ์ และมีความเกี่ยวข้องกับผู้ใช้จะช่วยให้เว็บไซต์มีโอกาสสูงขึ้นในการได้รับลิงก์จากเว็บไซต์อื่น ๆ และเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาของเครื่องมือค้นหา

6. การเพิ่มประสิทธิภาพภาพ (Image Optimization): การใช้ภาพที่มีคุณภาพและปรับขนาดอย่างเหมาะสม รวมถึงการใช้แท็ก Alt เพื่อบรรยายภาพ จะช่วยปรับปรุงการเข้าถึงของเครื่องมือค้นหาและทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น

7. ความปลอดภัยของเว็บไซต์ (Website Security): การใช้ HTTPS แสดงว่าเว็บไซต์มีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ Google พิจารณาในการจัดอันดับเว็บไซต์

บทส่งท้าย

ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่เว็บไซต์ที่ดีควรพิจารณาเพื่อปรับปรุง SEO E-A-T จึงเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและน่าเชื่อถือ ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาของ Google
บริการปั้มไลค์ เพิ่มผู้ติดตาม ปั้มยอดวิว มีครบจบที่ Auto-Like.co

แชร์:

ความคิดเห็น:

หัวข้อเรื่อง