ผู้ให้บริการด้าน Social Media Marketing อันดับ 1

อาชีพทำเว็บไซต์ แตกต่างอย่างไรกับอาชีพ SEO

อาชีพทำเว็บไซต์ แตกต่างอย่างไรกับอาชีพ SEO
อาชีพทำเว็บไซต์ มีความสำคัญมากในยุคดิจิทัลปัจจุบัน เนื่องจากมีบทบาทหลายด้านที่สำคัญต่อการพัฒนาธุรกิจและการสื่อสารออนไลน์ มีความสำคัญสูงและมีโอกาสที่ดีในการพัฒนาในหลายๆ ด้านของชีวิตการทำงานและธุรกิจ SocialIn.One จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับอาชีพทำเว็บไซต์ให้มากขึ้น และจะทำอาชีพนี้ได้ ต้องมีทักษะอย่างไรบ้าง ? โดยรายละเอียดใจความสำคัญจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย

อาชีพทำเว็บไซต์ คืออะไร ?

อาชีพทำเว็บไซต์ (Web Developer หรือ Web Designer) คือการออกแบบ พัฒนา และบำรุงรักษาเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันบนเว็บ โดยบุคคลที่ทำงานในอาชีพนี้จะมีหน้าที่หลากหลายขึ้นอยู่กับความเชี่ยวชาญของแต่ละคน ดังนี้

1. Web Designer (นักออกแบบเว็บไซต์)

หน้าที่และความรับผิดชอบ

1. เขียนโค้ด HTML, CSS, และ JavaScript

สร้างและออกแบบหน้าเว็บให้สวยงามและใช้งานได้ดีตามความต้องการของผู้ใช้และความเหมาะสมกับการแสดงผลบนเว็บบราวเซอร์

2. ใช้ Framework และ Library

พัฒนาเว็บแอปพลิเคชันด้วย Framework และ Library ที่ทันสมัย เช่น React, Angular, หรือ Vue.js เพื่อสร้างฟังก์ชันและความสามารถที่ซับซ้อนในเว็บแอปพลิเคชัน

3. ออกแบบและปรับปรุงประสบการณ์การใช้งาน (UX/UI)

สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้ใช้ ด้วยการออกแบบ UI ที่น่าสนใจและใช้งานได้สะดวก ทำงานร่วมกับทีมออกแบบและนักออกแบบ UX/UI เพื่อพัฒนาคุณสมบัติใหม่และปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้

4. ตรวจสอบและแก้ไขข้อบกพร่อง

ทดสอบและตรวจสอบข้อบกพร่องของโค้ด รวมถึงการ Debug ปัญหาที่เกิดขึ้นในการใช้งานของผู้ใช้

5. ทำงานร่วมกับทีมพัฒนา

ประสานงานกับนักพัฒนาฝั่งเซิร์ฟเวอร์, นักออกแบบ, และสมาชิกในทีมเพื่อให้แน่ใจว่าส่วนต่าง ๆ ของเว็บแอปพลิเคชันทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น

6. อัปเดตเทคโนโลยีและแนวโน้มใหม่ ๆ

ติดตามและเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และแนวโน้มในวงการพัฒนาเว็บเพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง

ทักษะที่จำเป็น

  • ความรู้และทักษะในการใช้ HTML, CSS, และ JavaScript
  • ประสบการณ์ในการใช้ Framework เช่น React, Angular, หรือ Vue.js
  • ความเข้าใจในหลักการออกแบบ UX/UI
  • ทักษะในการ Debug และทดสอบซอฟต์แวร์
  • ความสามารถในการทำงานร่วมกับทีมและการสื่อสารที่ดี

คุณสมบัติที่ต้องการ

  • ประสบการณ์ในการพัฒนาเว็บไซต์หรือเว็บแอปพลิเคชัน
  • ความสามารถในการเรียนรู้และปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ
  • ทักษะการแก้ปัญหาและการคิดเชิงวิเคราะห์

2. Frontend Developer (นักพัฒนาเว็บไซต์ฝั่งผู้ใช้)

หน้าที่และความรับผิดชอบ

1. ออกแบบรูปลักษณ์ของเว็บไซต์

สร้างแนวคิดและออกแบบภาพรวมของเว็บไซต์ รวมถึงการเลือกสี, ฟอนต์, รูปภาพ และองค์ประกอบการออกแบบอื่น ๆ เพื่อให้เว็บไซต์มีรูปลักษณ์ที่น่าสนใจและสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของแบรนด์

2. ใช้เครื่องมือออกแบบ

ใช้เครื่องมือออกแบบกราฟิก เช่น Adobe Photoshop, Illustrator, Sketch, หรือ Figma ในการสร้างและปรับแต่งกราฟิก, เลย์เอาต์, และส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์

3. ออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ (UX)

วางแผนและออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ (Wireframe) และแบบจำลองเว็บไซต์ (Prototype) เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลและฟังก์ชันต่าง ๆ ได้อย่างสะดวกและใช้งานง่าย

4. ออกแบบส่วนต่อประสานผู้ใช้ (UI)

ออกแบบส่วนต่อประสานที่ใช้งานได้ง่ายและมีความเป็นมิตรกับผู้ใช้ โดยเน้นที่การออกแบบปุ่ม, เมนู, แบบฟอร์ม, และองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ผู้ใช้จะต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วย

5. ร่วมมือกับนักพัฒนาเว็บและทีมงานอื่น ๆ

ทำงานร่วมกับ Frontend Developers, นักพัฒนา Back-end, และนักออกแบบ UX/UI อื่น ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าออกแบบของเว็บไซต์จะถูกนำไปพัฒนาและทำงานได้ตามที่วางแผนไว้

6. ปรับปรุงและอัปเดตเว็บไซต์

ติดตามความคิดเห็นของผู้ใช้และข้อมูลการใช้งานเพื่อปรับปรุงเว็บไซต์ และอัปเดตการออกแบบให้ทันสมัยและตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้

7. ตรวจสอบและทดสอบการออกแบบ

ทดสอบการออกแบบบนอุปกรณ์และเบราว์เซอร์ต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ทำงานได้ดีในทุกสภาพแวดล้อม

ทักษะที่จำเป็น

  • ความเชี่ยวชาญในการใช้ เครื่องมือออกแบบ เช่น Adobe Photoshop, Illustrator, Sketch, หรือ Figma
  • ทักษะในการออกแบบ UX/UI และความเข้าใจในหลักการออกแบบที่ดี
  • ความสามารถในการสร้างและปรับแต่ง Wireframes และ Prototypes
  • ความสามารถในการทำงานร่วมกับทีมพัฒนาและการสื่อสารที่ดี
  • ความรู้เกี่ยวกับเทรนด์การออกแบบเว็บไซต์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง

คุณสมบัติที่ต้องการ

  • ประสบการณ์ในการออกแบบเว็บไซต์หรือกราฟิก
  • ความสามารถในการคิดสร้างสรรค์และมีสายตาที่ดีในการออกแบบ
  • ความสามารถในการแก้ปัญหาและการคิดเชิงวิเคราะห์

คุณสมบัติที่ดีสำหรับ Web Designer

  • มีผลงานการออกแบบที่แสดงถึงทักษะและความคิดสร้างสรรค์ของคุณ
  • มีความสนใจในการเรียนรู้และอัปเดตเทรนด์การออกแบบใหม่ ๆ

3. Backend Developer (นักพัฒนาเว็บไซต์ฝั่งเซิร์ฟเวอร์)

หน้าที่และความรับผิดชอบ

1. พัฒนาและบำรุงรักษาโค้ดเซิร์ฟเวอร์

เขียนโค้ดในภาษาต่าง ๆ เช่น PHP, Python, Ruby, Java, หรือ Node.js เพื่อจัดการข้อมูล, สร้างฟังก์ชันการทำงาน, และจัดการกับฐานข้อมูล

2. ออกแบบและจัดการฐานข้อมูล

ออกแบบโครงสร้างฐานข้อมูล, เขียนและปรับปรุงคำสั่ง SQL หรือใช้ ORM (Object-Relational Mapping) เพื่อติดต่อกับฐานข้อมูล, เช่น MySQL, PostgreSQL, MongoDB, หรือ SQLite

3. พัฒนา API (Application Programming Interface)

สร้างและจัดการ API สำหรับการสื่อสารระหว่างฝั่งเซิร์ฟเวอร์และฝั่งผู้ใช้ (Frontend) รวมถึงการออกแบบ RESTful APIs หรือ GraphQL APIs

4. จัดการกับการรักษาความปลอดภัย

ดำเนินการเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน เช่น การจัดการการตรวจสอบสิทธิ์ (Authentication) และการควบคุมสิทธิ์ (Authorization) เพื่อป้องกันข้อมูลและความปลอดภัยของระบบ

5. ประสิทธิภาพและการปรับปรุงประสิทธิภาพ

วิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้การตอบสนองของเว็บไซต์เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

6. การบำรุงรักษาและแก้ไขข้อบกพร่อง

ติดตามและแก้ไขข้อบกพร่องของโค้ด รวมถึงการทดสอบระบบเพื่อให้แน่ใจว่าการเปลี่ยนแปลงหรือการอัปเดตไม่ทำให้เกิดปัญหาใหม่

7. ทำงานร่วมกับทีมพัฒนา

ร่วมมือกับนักพัฒนาฝั่งผู้ใช้ (Frontend Developers), นักออกแบบ UX/UI, และทีมงานอื่น ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าส่วนต่าง ๆ ของเว็บแอปพลิเคชันทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น

8. ดูแลและจัดการเซิร์ฟเวอร์และโครงสร้างพื้นฐาน

ทำงานร่วมกับ DevOps หรือใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น Docker, Kubernetes, หรือ AWS เพื่อจัดการการตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์และโครงสร้างพื้นฐาน

ทักษะที่จำเป็น

  • ความรู้ในภาษาการเขียนโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์ เช่น PHP, Python, Ruby, Java, หรือ Node.js
  • ทักษะในการออกแบบและจัดการฐานข้อมูล รวมถึงการเขียน SQL Queries และการใช้ ORM
  • ความรู้ในการสร้าง API และการออกแบบ RESTful APIs หรือ GraphQL APIs
  • ทักษะในการรักษาความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน เช่น การจัดการการตรวจสอบสิทธิ์และการควบคุมสิทธิ์
  • ความสามารถในการวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบ

คุณสมบัติที่ต้องการ

  • ประสบการณ์ในการพัฒนาและบำรุงรักษาโค้ดเซิร์ฟเวอร์
  • ความสามารถในการทำงานร่วมกับทีมพัฒนาและการสื่อสารที่ดี
  • ทักษะในการแก้ปัญหาและการคิดเชิงวิเคราะห์

คุณสมบัติที่ดีสำหรับ Backend Developer

  • ประสบการณ์ในการทำงานกับโครงสร้างพื้นฐานและเซิร์ฟเวอร์ รวมถึงการใช้ DevOps tools เช่น Docker และ Kubernetes
  • ความสนใจในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และการพัฒนาทักษะทางเทคนิคอยู่เสมอ
Web

4. Full Stack Developer (นักพัฒนาเว็บไซต์แบบเต็มรูปแบบ)

หน้าที่และความรับผิดชอบ

1. พัฒนาและบำรุงรักษาเว็บไซต์ทั้ง Frontend และ Backend

  • Frontend: ออกแบบและพัฒนาอินเตอร์เฟซผู้ใช้โดยใช้ HTML, CSS, JavaScript, และ Framework เช่น React, Angular, หรือ Vue.js
  • Backend: เขียนโค้ดเซิร์ฟเวอร์โดยใช้ภาษาเช่น PHP, Python, Ruby, Java, หรือ Node.js และจัดการฐานข้อมูล

2. ออกแบบโครงสร้างและระบบเว็บไซต์

  • สร้างและออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่ครอบคลุมทั้งด้านการใช้งานของผู้ใช้ (Frontend) และการจัดการข้อมูลและฟังก์ชัน (Backend)
  • พัฒนาและจัดการ API (RESTful APIs หรือ GraphQL) เพื่อเชื่อมต่อ Frontend และ Backend

3. จัดการกับฐานข้อมูลและการรักษาความปลอดภัย

ออกแบบและจัดการฐานข้อมูล, เขียนคำสั่ง SQL หรือใช้ ORM ดำเนินการเกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ เช่น การจัดการการตรวจสอบสิทธิ์ (Authentication) และการควบคุมสิทธิ์ (Authorization)

4. ทำงานร่วมกับทีมพัฒนาและการจัดการโครงการ

ประสานงานกับนักออกแบบ, Frontend Developers, Backend Developers, และสมาชิกทีมอื่น ๆ ใช้เครื่องมือจัดการโครงการ เช่น JIRA, Trello, หรือ Asana เพื่อจัดการงานและติดตามความก้าวหน้า

5. การทดสอบและตรวจสอบการทำงานของเว็บไซต์

ทำการทดสอบทั้งด้าน Frontend และ Backend เช่น Unit Testing, Integration Testing, และ End-to-End Testing ตรวจสอบและแก้ไขข้อบกพร่องเพื่อให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ทำงานได้ตามที่คาดหวัง

6. ปรับปรุงและอัปเดตเทคโนโลยี

ติดตามเทคโนโลยีใหม่ ๆ และแนวโน้มในวงการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง

7. จัดการและดูแลโครงสร้างพื้นฐานเว็บไซต์

ใช้เครื่องมือและบริการที่เกี่ยวข้องกับการตั้งค่าและการดูแลเซิร์ฟเวอร์ เช่น AWS, Heroku, หรือ Docker

ทักษะที่จำเป็น

1. ทักษะการพัฒนา Frontend

ความรู้ในการใช้ HTML, CSS, JavaScript และ Frontend Frameworks เช่น React, Angular, หรือ Vue.js

2. ทักษะการพัฒนา Backend

  • ความรู้ในภาษาการเขียนโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์ เช่น PHP, Python, Ruby, Java, หรือ Node.js
  • ความเข้าใจในการออกแบบฐานข้อมูลและการใช้ SQL หรือ ORM

3. ความสามารถในการพัฒนา API

การสร้างและจัดการ RESTful APIs หรือ GraphQL APIs

4. ทักษะการจัดการโครงการและการทำงานร่วมกับทีม

การใช้เครื่องมือจัดการโครงการและการประสานงานกับทีม

5. ความรู้ในการรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์

ความเข้าใจในหลักการรักษาความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน

6. ทักษะในการทดสอบและตรวจสอบข้อบกพร่อง

ความรู้ในการทดสอบซอฟต์แวร์และการ Debug ข้อบกพร่อง

คุณสมบัติที่ต้องการ

  • ประสบการณ์ในการพัฒนาเว็บไซต์ทั้ง Frontend และ Backend
  • ความสามารถในการทำงานที่หลากหลาย และจัดการกับงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเว็บไซต์ทั้งระบบ
  • ทักษะการแก้ปัญหาและการคิดเชิงวิเคราะห์

คุณสมบัติที่ดีสำหรับ Full Stack Developer

  • ประสบการณ์ในการจัดการและพัฒนาโปรเจกต์ทั้ง Frontend และ Backend
  • ความสนใจในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และการพัฒนาทักษะที่หลากหลาย

ตัวอย่างเครื่องมือและเทคโนโลยีที่อาจใช้

  • Frontend: React, Angular, Vue.js, Bootstrap, Tailwind CSS
  • Backend: Node.js, Express.js, Django, Flask, Ruby on Rails, Spring Boot
  • Database: MySQL, PostgreSQL, MongoDB, SQLite
  • API: RESTful APIs, GraphQL
  • DevOps: Docker, Kubernetes, AWS, Heroku

5. Web Administrator (ผู้ดูแลเว็บไซต์)

หน้าที่และความรับผิดชอบ

1. ดูแลรักษาและบำรุงรักษาเว็บไซต์

ตรวจสอบสถานะการทำงานของเว็บไซต์เพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้อย่างต่อเนื่องและไม่มีปัญหา

2. จัดการระบบเซิร์ฟเวอร์และโครงสร้างพื้นฐาน

  • ติดตั้ง, ปรับแต่ง, และอัปเดตเซิร์ฟเวอร์ที่เว็บไซต์โฮสต์อยู่ เช่น Apache, Nginx, หรือ IIS
  • ดูแลระบบการจัดการเซิร์ฟเวอร์, เช่น cPanel, Plesk, หรือการตั้งค่าผ่าน CLI (Command Line Interface)

3. ปรับปรุงระบบความปลอดภัย

ตรวจสอบและอัปเดตระบบความปลอดภัยของเว็บไซต์ เช่น การตั้งค่า SSL Certificates, การอัปเดตแพตช์ความปลอดภัย, การจัดการการเข้าถึง, และการตรวจสอบความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน

4. สำรองข้อมูลและการกู้คืนข้อมูล

ตั้งค่าและจัดการระบบสำรองข้อมูล (Backup) เพื่อป้องกันข้อมูลสูญหาย และวางแผนการกู้คืนข้อมูล (Disaster Recovery Plan) ในกรณีที่เกิดปัญหาหรือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด

5. ตรวจสอบและรายงานประสิทธิภาพของเว็บไซต์

ใช้เครื่องมือตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์ เช่น Google Analytics, New Relic, หรือ Pingdom เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพและสุขภาพของเว็บไซต์

6. จัดการกับปัญหาของเว็บไซต์และการสนับสนุนทางเทคนิค

แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบเว็บไซต์ เช่น การแก้ไขข้อผิดพลาดของโค้ด, การจัดการปัญหาการเชื่อมต่อฐานข้อมูล, หรือการติดต่อกับผู้ให้บริการโฮสต์

7. อัปเดตเนื้อหาและฟังก์ชันของเว็บไซต์

ทำงานร่วมกับทีมพัฒนาเพื่ออัปเดตเนื้อหาและฟังก์ชันของเว็บไซต์ตามความต้องการของธุรกิจ

8. การตรวจสอบและบำรุงรักษาฐานข้อมูล

ดูแลและบำรุงรักษาฐานข้อมูลของเว็บไซต์ เช่น การสำรองข้อมูลฐานข้อมูล, การทำงานประจำวันของฐานข้อมูล, และการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของฐานข้อมูล

ทักษะที่จำเป็น

1. ความรู้ในการจัดการเซิร์ฟเวอร์

ความสามารถในการติดตั้ง, ปรับแต่ง, และบำรุงรักษา Apache, Nginx, หรือ IIS

2. ทักษะด้านความปลอดภัยเว็บไซต์

การตั้งค่า SSL Certificates, การจัดการการเข้าถึง, และการตรวจสอบความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน

3. การสำรองข้อมูลและการกู้คืนข้อมูล

การวางแผนและการจัดการระบบสำรองข้อมูล รวมถึงการสร้างแผนการกู้คืนข้อมูล

4. ความสามารถในการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์

การใช้เครื่องมือตรวจสอบประสิทธิภาพของเว็บไซต์และการวิเคราะห์ผลลัพธ์

5. ทักษะในการแก้ไขปัญหาและการสนับสนุนทางเทคนิค

การแก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์และการติดต่อกับผู้ให้บริการโฮสต์

คุณสมบัติที่ต้องการ

  • ประสบการณ์ในการดูแลเว็บไซต์หรือระบบเซิร์ฟเวอร์
  • ความรู้เกี่ยวกับเครื่องมือและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
  • ทักษะการวางแผนและการจัดการระบบสำรองข้อมูลและการกู้คืนข้อมูล
  • ความสามารถในการทำงานอย่างเป็นระเบียบและมีความรับผิดชอบ

คุณสมบัติที่ดีสำหรับ Web Administrator

  • ประสบการณ์ในการจัดการและบำรุงรักษาเว็บไซต์และเซิร์ฟเวอร์
  • ทักษะการวิเคราะห์และการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ความสนใจในการเรียนรู้และปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ

ตัวอย่างเครื่องมือและเทคโนโลยีที่อาจใช้

  • เซิร์ฟเวอร์: Apache, Nginx, IIS
  • เครื่องมือสำรองข้อมูล: BackupBuddy, UpdraftPlus, Acronis
  • เครื่องมือตรวจสอบ: Google Analytics, New Relic, Pingdom
  • ฐานข้อมูล: MySQL, PostgreSQL, MongoDB

ตัวอย่างงานที่อาจทำได้

  • ตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์
  • จัดการกับปัญหาการทำงานของเว็บไซต์
  • อัปเดตเนื้อหาและฟังก์ชันของเว็บไซต์

อาชีพทำเว็บไซต์ต้องการความรู้ทางเทคนิค ความคิดสร้างสรรค์ และการติดตามเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังต้องมีทักษะการทำงานเป็นทีม การสื่อสาร และการแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ

อาชีพทำ SEO คืออะไร ?

อาชีพทำ SEO (Search Engine Optimization) คือการทำงานเพื่อปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้สามารถปรากฏในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา (Search Engine) เช่น Google, Bing, Yahoo เป็นต้น ได้ดียิ่งขึ้น การทำ SEO มีเป้าหมายหลักคือทำให้เว็บไซต์ขององค์กรหรือธุรกิจปรากฏในตำแหน่งที่ดีขึ้นในผลการค้นหา เมื่อมีคนค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนั้นๆ

หน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ทำ SEO

1. การวิเคราะห์คำค้นหา (Keyword Research): หาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องและมีศักยภาพสูงในการนำผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์

2. การปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ (On-page SEO): ปรับปรุงเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์ เช่น การใช้คำค้นหาในหัวข้อและเนื้อหา การเพิ่ม Meta Tags และการจัดรูปแบบเนื้อหา

3. การสร้างลิงก์ภายนอก (Off-page SEO): สร้างลิงก์ภายนอกจากเว็บไซต์อื่นมายังเว็บไซต์ของตัวเอง เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับของเว็บไซต์ในเครื่องมือค้นหา

4. การวิเคราะห์และติดตามผล (Analytics and Reporting): ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Google Analytics เพื่อติดตามผลการทำ SEO และปรับปรุงกลยุทธ์ตามผลลัพธ์ที่ได้รับ

5. การปรับปรุงประสิทธิภาพเว็บไซต์ (Technical SEO): แก้ไขปัญหาทางเทคนิคที่อาจมีผลต่อการจัดอันดับ เช่น ความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ ความสามารถในการเข้าถึง และการปรับเว็บไซต์ให้เหมาะกับการใช้งานบนมือถือ

ทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้ทำ SEO

  • ความเข้าใจในหลักการทำงานของเครื่องมือค้นหา
  • ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูล
  • ทักษะการเขียนและการสร้างเนื้อหา
  • ความรู้ในด้านเทคโนโลยีเว็บ
  • ทักษะการสื่อสารและการทำงานร่วมกับทีม

อาชีพทำ SEO มีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของธุรกิจในยุคปัจจุบัน เนื่องจากช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและสร้างการมองเห็นในโลกออนไลน์ได้มากขึ้น

SEO

อาชีพทำเว็บไซต์กับอาชีพทำ SEO ต่างกันอย่างไร ?

อาชีพทำเว็บไซต์ (Web Development) และการทำ SEO (Search Engine Optimization) แม้จะเกี่ยวข้องกับการทำงานออนไลน์เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างในด้านหน้าที่และความรับผิดชอบหลักดังนี้

1. อาชีพทำเว็บไซต์ (Web Development)

การเขียนโค้ดและการพัฒนา

  • รับผิดชอบการสร้างและพัฒนาเว็บไซต์ โดยใช้ภาษาโปรแกรมต่างๆ เช่น HTML, CSS, JavaScript, PHP, Python ฯลฯ
  • สร้างเว็บไซต์ที่ตอบสนองต่อผู้ใช้งาน (Responsive Web Design) เพื่อให้เข้าถึงได้ทั้งบนคอมพิวเตอร์และมือถือ

การออกแบบและการใช้งาน

  • ออกแบบส่วนต่อประสานผู้ใช้ (User Interface) และสร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดี (User Experience)
  • ทำงานร่วมกับนักออกแบบกราฟิกเพื่อให้เว็บไซต์สวยงามและน่าใช้งาน

การบำรุงรักษาเว็บไซต์

  • ดูแลและแก้ไขปัญหาของเว็บไซต์
  • ปรับปรุงและอัปเดตเว็บไซต์อย่างต่อเนื่อง

2. อาชีพทำ SEO (Search Engine Optimization)

การวิเคราะห์และการวิจัยคำค้นหา (Keyword Research)

  • วิเคราะห์และเลือกคำค้นหาที่เกี่ยวข้องและมีประสิทธิภาพสำหรับธุรกิจ
  • วิเคราะห์การแข่งขันของคำค้นหาและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสม

การปรับแต่งบนหน้าเว็บไซต์ (On-Page SEO)

  • ปรับแต่งเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์ เช่น การใช้คำค้นหาที่ถูกต้องในหัวเรื่อง (Title), เมต้าแท็ก (Meta Tag), และเนื้อหาของหน้าเว็บ
  • เพิ่มคุณภาพของเนื้อหาเพื่อให้ตรงตามข้อกำหนดของเครื่องมือค้นหา (Search Engine)

การสร้างลิงก์และการโปรโมท (Off-Page SEO)

  • สร้างลิงก์คุณภาพจากเว็บไซต์ภายนอกมายังเว็บไซต์ของคุณ
  • การโปรโมทเว็บไซต์ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย, บล็อก, และเว็บไซต์พันธมิตร

การวิเคราะห์ผลและปรับปรุง

  • ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เช่น Google Analytics เพื่อดูผลลัพธ์และประสิทธิภาพของการทำ SEO
  • ปรับปรุงกลยุทธ์และเทคนิคอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา

สรุป

  • Web Development: มุ่งเน้นการสร้างและพัฒนาเว็บไซต์ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสวยงาม
  • SEO: มุ่งเน้นการเพิ่มการเข้าถึงและความสามารถในการค้นหาเว็บไซต์เพื่อเพิ่มการเข้าชมจากเครื่องมือค้นหา

บทส่งท้าย

ทั้งสองอาชีพนี้ไม่ว่าจะเป็นอาชีพทำเว็บไซต์หรือทำ SEO สามารถทำงานร่วมกันได้ดี โดยการพัฒนาเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและการทำ SEO ที่ดีจะช่วยให้เว็บไซต์มีการเข้าชมมากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในระยะยาว
บริการปั้มไลค์ เพิ่มผู้ติดตาม ปั้มยอดวิว มีครบจบที่ Auto-Like.co

แชร์:

ความคิดเห็น:

หัวข้อเรื่อง