Backlink คืออะไร ?
Backlink หรือ ลิงก์ย้อนกลับ คือ ลิงก์ที่มาจากเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เชื่อมโยงกลับมายังเว็บไซต์ของเรา การที่เว็บไซต์ของเราได้รับ Backlink จะช่วยบอกให้ Google รู้ว่าเนื้อหาของเรามีคุณค่าและได้รับการยอมรับจากเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งเป็นเหมือนคะแนนโหวตที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของเราในสายตาของ Google ส่งผลให้การจัดอันดับในหน้าผลการค้นหาของ Google (SEO) ดีขึ้นได้
Backlink ที่มีคุณภาพสูง เช่น จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ของเรา จะมีผลดีต่อ SEO มากกว่า Backlink ที่มาจากเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่มีความเกี่ยวข้องกัน
คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการทำ Backlink
1. Referring Domain
“Referring Domain” หรือ “โดเมนที่อ้างอิง” คือเว็บไซต์หรือโดเมนที่ส่ง backlink มายังเว็บไซต์หรือโดเมนปลายทาง การมี backlink จาก referring domain ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอิทธิพลทาง SEO ให้กับเว็บไซต์ปลายทางได้อย่างมาก
การที่เว็บไซต์มี backlink จากหลาย ๆ referring domain ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในเว็บไซต์นั้น จะทำให้เครื่องมือค้นหา (เช่น Google) มองว่าเว็บไซต์นั้นเป็นที่น่าเชื่อถือและมีความสำคัญในวงการของตน ส่งผลให้เว็บไซต์มีโอกาสขึ้นไปอยู่ในอันดับที่สูงขึ้นในผลการค้นหา
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรเน้นสร้าง backlink จาก referring domain ที่มีคุณภาพ เช่น เว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง และมี traffic สูง นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการสร้าง backlink จากเว็บไซต์ที่มีความเสี่ยงหรือเป็น spam เพราะอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อ SEO ของเว็บไซต์ได้
2. Referring Page
“Referring Page” หรือ “หน้าเว็บที่อ้างอิง” หมายถึงหน้าเว็บ (URL) ของเว็บไซต์ที่มีลิงก์ส่งไปยังเว็บไซต์หรือหน้าเว็บเป้าหมายของเรา หน้านี้เป็นแหล่งที่มาของผู้เข้าชมเว็บไซต์ของเรา
Referring Page มีความสำคัญในด้าน SEO เช่นเดียวกับ Referring Domain เพราะการได้รับ backlink จากหน้าเว็บที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาในเว็บไซต์ของเราจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอิทธิพลทาง SEO ให้กับเว็บไซต์เป้าหมายได้
การมี backlink จากหลาย ๆ Referring Page ที่มีคุณภาพจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือในสายตาของเครื่องมือค้นหา ส่งผลให้เว็บไซต์ของเรามีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา ควรให้ความสำคัญในการสร้าง backlink จาก Referring Page ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและมี traffic สูง รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการสร้าง backlink จากหน้าเว็บที่มีความเสี่ยงหรือเป็น spam เพราะอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อ SEO ของเว็บไซต์ได้
เพื่อให้ SEO มีประสิทธิภาพสูงสุด ควรใช้กลยุทธ์ที่ครอบคลุมทั้งการสร้าง backlink จาก referring domain และ referring page ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของเว็บไซต์ของเรา
3. Broken Backlink
“Broken Backlink” หรือ “Backlink ที่เสียหาย” หมายถึงลิงก์ที่ไม่สามารถนำผู้ใช้ไปยังหน้าเว็บปลายทางได้ เหมือนกับถนนที่ตัน ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถผ่านไปยังจุดหมายปลายทางได้ ลิงก์เหล่านี้มักจะถูกระบุด้วยรหัสข้อผิดพลาด “404” (Page Not Found) หรืออาจจะเป็นรหัสข้อผิดพลาดอื่น ๆ ที่บ่งบอกว่าหน้าเว็บนั้นไม่สามารถเข้าถึงได้
Broken Backlink สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- หน้าเว็บปลายทางถูกลบหรือย้ายไปที่อื่นโดยไม่มีการตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทาง (Redirect)
- URL ของลิงก์มีการพิมพ์ผิด
- โดเมนปลายทางหมดอายุหรือถูกยกเลิก
- หน้าเว็บปลายทางมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง URL
การตรวจสอบและแก้ไข Broken Backlink เป็นสิ่งสำคัญในด้าน SEO เพราะ
- Broken Backlink ส่งผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้ เมื่อผู้ใช้คลิกลิงก์แล้วพบว่าหน้าเว็บไม่สามารถเข้าถึงได้ อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกไม่พอใจและออกจากเว็บไซต์
- Broken Backlink ส่งผลเสียต่อ SEO เพราะเครื่องมือค้นหาเช่น Google อาจมองว่าเว็บไซต์มีคุณภาพต่ำหากมีลิงก์ที่ไม่สามารถใช้งานได้มากเกินไป
การแก้ไข Broken Backlink สามารถทำได้โดย
- ตรวจสอบลิงก์ที่เสียหายและแก้ไข URL ให้ถูกต้อง
- ตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทาง (Redirect) จากหน้าเว็บที่ถูกลบหรือย้ายไปยังหน้าเว็บใหม่
- ติดต่อเจ้าของเว็บไซต์ที่มี Broken Backlink เพื่อให้เขาแก้ไขลิงก์ให้ถูกต้อง
4. Lost Backlink
“Lost Backlink” หรือ “Backlink ที่หายไป” หมายถึงลิงก์ที่เคยมีมายังเว็บไซต์ของเรา แต่ปัจจุบันไม่สามารถใช้งานได้หรือหายไป เปรียบเสมือนเส้นทางที่เคยเชื่อมต่อมายังเว็บไซต์ของเราถูกตัดขาด
สาเหตุหลักของ Lost Backlink ได้แก่
- เจ้าของเว็บไซต์เอาลิงก์ออก: เจ้าของเว็บไซต์ต้นทางอาจตัดสินใจลบลิงก์ของเราออกจากหน้าเว็บของเขาด้วยเหตุผลต่าง ๆ เช่น อัปเดตเนื้อหาใหม่ที่ไม่ต้องการลิงก์เก่า หรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเว็บไซต์
- หน้าเว็บถูกลบ: หน้าเว็บที่มีลิงก์มายังเว็บไซต์ของเราถูกลบหรือล้างข้อมูลไป ทำให้ลิงก์นั้นหายไป
- การเปลี่ยนแปลง URL: หน้าเว็บที่มีลิงก์มายังเว็บไซต์ของเรามีการเปลี่ยนแปลง URL โดยไม่มีการตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทาง (Redirect)
- โดเมนหมดอายุหรือเว็บไซต์ถูกปิด: เว็บไซต์ต้นทางที่มีลิงก์มายังเว็บไซต์ของเราหมดอายุหรือถูกปิดใช้งาน
ผลกระทบของ Lost Backlink ต่อ SEO
- ลดจำนวน Backlink: การสูญเสีย Backlink อาจลดความน่าเชื่อถือและอิทธิพลของเว็บไซต์ในสายตาของเครื่องมือค้นหา
- ลดการเข้าชม: หาก Lost Backlink มาจากหน้าเว็บที่มีการเข้าชมสูง อาจทำให้การเข้าชมเว็บไซต์ลดลง
การจัดการกับ Lost Backlink
- ตรวจสอบ Lost Backlink: ใช้เครื่องมือ SEO เช่น Google Search Console, Ahrefs, หรือ SEMrush เพื่อตรวจสอบและติดตาม Lost Backlink
- ติดต่อเจ้าของเว็บไซต์: หากเป็นไปได้ ติดต่อเจ้าของเว็บไซต์ที่ลบลิงก์หรือเปลี่ยนแปลงเนื้อหาเพื่อขอให้เพิ่มลิงก์กลับเข้ามาอีกครั้ง
- สร้าง Backlink ใหม่: มุ่งเน้นสร้าง Backlink ใหม่จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้อง
- ตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทาง (Redirect): หากหน้าเว็บของเราที่ลิงก์ไปถึงถูกเปลี่ยนแปลง URL ควรตั้งค่าการเปลี่ยนเส้นทางเพื่อให้ผู้ใช้และเครื่องมือค้นหายังสามารถเข้าถึงเนื้อหาที่ต้องการได้
5. Internal Backlink
“Internal Backlink” หมายถึงลิงก์ที่เชื่อมโยงหน้าเว็บต่าง ๆ ในเว็บไซต์เดียวกัน เปรียบเสมือนสะพานเชื่อมต่อภายในที่ช่วยให้ผู้ใช้หรือผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์สามารถค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้ง่ายขึ้น
Internal Backlink มีความสำคัญในด้าน SEO และประสิทธิภาพในการนำทางเว็บไซต์ เช่น
- เพิ่มความสะดวกสบายในการนำทาง: ผู้ใช้สามารถคลิก Internal Backlink เพื่อย้ายจากหน้าเว็บหนึ่งไปยังหน้าเว็บอื่นในเว็บไซต์ได้โดยตรง เพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่กำลังอ่าน
- เพิ่มความสำคัญของเนื้อหา: การใช้ Internal Backlink ช่วยให้เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องร่วมกันได้รับการสนับสนุนจากกันเอง ทำให้เพิ่มความน่าเชื่อถือและความสำคัญในสายตาของเครื่องมือค้นหา
- ช่วยในการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์: Internal Backlink ช่วยในการสร้างโครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นระเบียบและมีระบบการนำทางที่ดี ทำให้ผู้ใช้และเครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ง่ายขึ้น
การใช้ Internal Backlink ควรมีกลยุทธ์ที่ดีเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในเชิง SEO และประสิทธิภาพในการนำทางผู้ใช้ในเว็บไซต์ของคุณ
6. Anchor Text
“Anchor Text” หมายถึงข้อความที่ใช้เป็นลิงก์ที่คลิกได้บนหน้าเว็บ ซึ่งช่วยในการบอกผู้ใช้ว่าลิงก์นั้นจะพาไปยังที่ใด เปรียบเสมือนป้ายบอกทางที่บอกถึงปลายทางของการเชื่อมโยง
ตัวอย่างการใช้ Anchor Text ในประโยคที่ให้มาคือ “Off-page SEO” ซึ่งเป็นลิงก์ที่ผู้ใช้สามารถคลิกเพื่อไปยังหน้าเว็บที่อธิบายเกี่ยวกับ Off-page SEO หรือกิจกรรม SEO ที่เกี่ยวกับปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ เช่น การสร้าง backlink และการโปรโมทเว็บไซต์ผ่านทางโซเชียลมีเดียและบล็อก
7. Domain Authority (DA)
Domain Authority (DA) เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนที่ใช้ประเมินความเชื่อถือของโดเมนเว็บ โดยอ้างอิงจากหลายปัจจัยที่สำคัญ รวมถึงจำนวนและคุณภาพของ backlink ที่เชื่อถือได้ โดยปกติ Domain Authority จะถูกนำมาใช้ในการประเมินความสำคัญของเว็บไซต์เมื่อเทียบกับเว็บไซต์อื่น ๆ ในท้องตลาดเดียวกันในวงการ SEO (Search Engine Optimization)
8. Page Authority (PA)
Page Authority (PA) เป็นคะแนนที่ใช้ประเมินความน่าเชื่อถือของหน้าเว็บ (หรือ URL) ที่เฉพาะตัว โดยมีการคำนวณจากหลายปัจจัยรวมทั้งจำนวนและคุณภาพของ backlink ที่เชื่อถือได้มากที่สุด. PA ถูกพัฒนาโดย Moz เพื่อช่วยในการประเมินว่าหน้าเว็บนั้นมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน เมื่อเทียบกับหน้าเว็บอื่นในเว็บไซต์เดียวกันหรือในช่วงเวลาเดียวกัน
9. Dofollow Link
ลิงค์ Dofollow คือลิงค์ที่ไม่ได้มีการกำหนดค่า attribute rel=”nofollow” ในโค้ด HTML ของลิงค์ ซึ่งหมายความว่าเมื่อมี Dofollow link จากเว็บต้นทางไปยังเว็บปลายทาง จะช่วยในการส่งค่าความน่าเชื่อถือ (authority) และค่า SEO ได้ เนื่องจากตัวเครื่องมือการค้นหาส่วนใหญ่จะนับลิงค์ Dofollow เป็นปัจจัยเพื่อประมวลผลการจัดอันดับเว็บไซต์ในผลการค้นหา
10. Nofollow Link
ลิงค์ Nofollow คือลิงค์ที่มีการกำหนดค่า attribute rel=”nofollow” ในโค้ด HTML ของลิงค์ ซึ่งหมายความว่าเมื่อมี Nofollow link จากเว็บต้นทางไปยังเว็บปลายทาง ตัวเครื่องมือการค้นหาเช่น Google จะไม่นับลิงค์นี้เป็นปัจจัยในการคำนวณค่าความน่าเชื่อถือ (authority) และค่า SEO ของเว็บไซต์ปลายทาง ดังนั้นลิงค์ Nofollow มักถูกใช้ในกรณีที่ไม่ต้องการส่ง “โซนัม” (link juice) หรือค่า SEO ไปยังเว็บไซต์ปลายทาง
11. Link juice
“Link juice” เป็นคำที่ใช้ใน SEO เพื่อบ่งบอกถึงค่าความน่าเชื่อถือหรือพลังงานที่ลิงค์สามารถส่งต่อได้จากหน้าเว็บหนึ่งไปยังหน้าเว็บอื่นผ่านการเชื่อมโยง (link) ซึ่งหมายถึงผลกระทบที่ลิงค์นั้นสามารถมีต่อความสำคัญและการจัดอันดับของหน้าเว็บที่ได้รับลิงค์นั้น ๆ จากหน้าเว็บอื่น ๆ ในองค์กรการค้นหาเช่น Google. การเสริมสร้าง link juice สามารถช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและค่า SEO ของหน้าเว็บได้
12. Internal Link
Internal link คือลิงค์ที่เชื่อมโยงระหว่างหน้าเว็บภายในโดเมนเว็บไซต์เดียวกัน ซึ่งมักจะเป็นลิงค์ที่เชื่อมไปยังหน้าเว็บอื่นในเว็บไซต์เพื่อช่วยในการนำทางผู้ใช้ในเว็บไซต์นั้น ๆ และเพิ่มประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้ การใช้ internal link ที่เหมาะสมช่วยในการเพิ่มความสะดวกสบายในการเรียกดูข้อมูล และยังสามารถช่วยในการเพิ่มค่า SEO ของหน้าเว็บได้ด้วย
13. External Link
External link คือลิงค์ที่เชื่อมโยงจากหน้าเว็บบนเว็บไซต์หนึ่งไปยังหน้าเว็บบนเว็บไซต์อื่นที่อยู่นอกโดเมนของเว็บไซต์นั้น ๆ ซึ่งมักจะเชื่อมไปยังแหล่งข้อมูลภายนอก เช่น เว็บไซต์อื่น บล็อก บทความ หรือแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง การใช้ external link ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลเพิ่มเติมหรือแหล่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้ง่ายขึ้น และยังเป็นประโยชน์ในการเสริมความสำคัญและค่า SEO ของเว็บไซต์ด้วย
คุณสมบัติของการทำ Backlink ที่ดี ต้องมีลักษณะอย่างไร ?
1. มีความน่าเชื่อถือ
การได้รับลิงค์จากเว็บไซต์อื่นถือเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดที่ Google ใช้ในการประเมินความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณ ลิงค์ที่มาจากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและเกี่ยวข้องจะช่วยเพิ่มความเชื่อถือและคุณค่าให้กับเว็บไซต์ของคุณในสายตาของ Google และผู้ใช้ด้วยกัน
การสร้างลิงค์ที่มีคุณภาพนั้นสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการจัดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาของ Google และส่งผู้เยี่ยมชมมากขึ้นด้วยเช่นกัน
2. มีอันดับที่ดีในผลการค้นหา
การทำ Backlink ที่มีคุณภาพมีผลต่อการเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google อย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้
- เพิ่มความน่าเชื่อถือ: Google ใช้ลิงค์ที่เชื่อถือได้จากเว็บไซต์อื่นเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์ การได้รับ Backlink จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณในสายตาของ Google ซึ่งส่งผลให้เว็บไซต์มีโอกาสจัดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา
- เพิ่มอิทธิพลของคีย์เวิร์ด: Backlink ที่มาจากเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องและมีความน่าเชื่อถือสามารถช่วยเพิ่มอิทธิพลในการจัดอันดับสำหรับคีย์เวิร์ดหรือวงดนตรีที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ
- เพิ่มการนำเสนอ: Backlink ที่มีคุณภาพสามารถช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการนำเสนอหรืออ้างอิงจากเว็บไซต์อื่นๆ ที่มีผู้เยี่ยมชมมากขึ้น ซึ่งเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความเข้าใจในวงการของคุณ
3. มีปริมาณผู้เข้าชม
การทำ Backlink ที่มีคุณภาพสามารถช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมได้โดยตรง นั่นเป็นเพราะ
- การส่งผู้เข้าชม: เว็บไซต์ที่มี Backlink มาจากเว็บไซต์อื่นสามารถส่งผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ของคุณได้ โดยผู้ใช้ที่เข้ามาผ่าน Backlink มักจะเป็นคนที่สนใจและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณมากขึ้น
- เพิ่มทราฟฟิก (Traffic): การมีจำนวนผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นสามารถช่วยเพิ่มทราฟฟิกให้กับเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่ Google ใช้ในการประเมินความน่าสนใจของเนื้อหาและคุณภาพของเว็บไซต์
- เพิ่มโอกาสในการแปลงเป็นลูกค้า: ผู้เข้าชมที่มาจาก Backlink ที่มีคุณภาพมีโอกาสสูงกว่าที่จะแปลงเป็นลูกค้าหรือผู้ใช้บริการของคุณ เนื่องจากพวกเขามีความสนใจและเข้าใจเนื้อหาของคุณอยู่แล้ว
แนวทางในการสร้าง Backlink
การทำ Backlink เป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณในหลายๆ แง่มุม ดังนั้น นี่คือแนวทางที่คุณสามารถใช้ในการทำ Backlink ที่มีประสิทธิภาพ
1. การเขียนเนื้อหาคุณภาพ
การเขียนเนื้อหาคุณภาพเพื่อดึงดูดความสนใจและการลิงค์มายังเว็บไซต์ของคุณนั้น เราสามารถทำได้โดยการปฏิบัติตามขั้นตอนและแนวทางต่อไปนี้
- ความเข้าใจเป้าหมายของกลุ่มเป้าหมาย: ทำการวิเคราะห์และเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณอย่างละเอียด เข้าใจความต้องการและปัญหาที่พวกเขากำลังต้องการแก้ไข
- การวางแผนเนื้อหา: สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ให้เนื้อหามีข้อมูลที่ครอบคลุมและเป็นปัญหาจริงของผู้อ่าน
- การค้นคว้าเนื้อหา: ใช้ข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ในการสนับสนุนเนื้อหาของคุณ เช่น ข้อมูลวิจัย สถิติ หรือข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถพิสูจน์ความเป็นจริงของเนื้อหา
- การเขียนเนื้อหาที่น่าสนใจ: ใช้ศัพท์ที่ถูกต้องและชัดเจนในการเขียนเนื้อหา มีการอธิบายและตั้งคำถามที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่าย
- การใช้ภาพประกอบและสื่อเสริม: การใช้ภาพประกอบ แผนภาพ หรือวิดีโอที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้เนื้อหาของคุณมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
- การปรับแต่งสไตล์เนื้อหา: พัฒนาสไตล์เขียนที่น่าสนใจและมีเสน่ห์เพื่อให้เนื้อหาของคุณเป็นเอกลักษณ์ตัวตน
- การส่งเสริมเนื้อหา: หลังจากเผยแพร่เนื้อหา ให้ทำการส่งเสริมเนื้อหาผ่านช่องทางต่างๆ เช่น สื่อสังคมออนไลน์ อีเมล์ หรือเว็บไซต์อื่น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดต่อกลับมาและการสร้างลิงค์
การทำเนื้อหาที่มีคุณค่าและมีประโยชน์ไม่เพียงแต่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับ Backlink มากขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความเข้าใจของผู้ใช้ต่อธุรกิจหรือแบรนด์ของคุณด้วย
2. การใช้ Social Media
การใช้ Social Media เพื่อส่งเสริมเนื้อหาของคุณและเพิ่มโอกาสในการได้รับ Backlink มีหลายวิธีที่คุณสามารถนำมาใช้ได้
- แบ่งปันเนื้อหาที่มีคุณค่า: แนะนำให้แชร์เนื้อหาที่คุณสร้างขึ้นในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยเน้นที่คุณภาพและความน่าสนใจ เช่น บทความ, วิดีโอ, ภาพถ่าย ที่มีโอกาสที่จะได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายของคุณ
- ใช้ Hashtag ที่เกี่ยวข้อง: การใช้ Hashtag ที่เกี่ยวข้องช่วยให้ผู้ใช้งานอื่นๆ สามารถค้นหาและค้นพบเนื้อหาของคุณได้ง่ายขึ้น และอาจช่วยเพิ่มโอกาสในการทำ Backlink จากผู้ใช้งานที่สนใจ
- ชวนเพื่อนแชร์และตอบกลับ: ขอให้กลุ่มเป้าหมายและผู้ติดตามมีส่วนร่วมในการแชร์เนื้อหาของคุณ และส่งต่อไปยังกลุ่มอื่น ๆ ที่อาจสนใจ
- สร้างความสัมพันธ์กับ Influencer: การสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลที่มีอิทธิพลในวงการของคุณ อาจช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับ Backlink จากพวกเขา
- ใช้แพลตฟอร์มที่เหมาะสม: เลือกใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เช่น Facebook, Twitter, Instagram, LinkedIn โดยมีการแนะนำและความคิดเห็นจากผู้ใช้งานที่หลากหลาย
3. การทำ Guest Post
การทำ Guest Post เป็นวิธีที่ดีในการสร้าง Backlink และเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณ ดังนั้น นี่คือขั้นตอนและแนวทางที่ควรปฏิบัติ
- ค้นหาเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง: เลือกเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสาขาหรือประเภทของธุรกิจของคุณ ควรเลือกเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงและมีชื่อเสียงในวงการนั้นๆ
- ติดต่อเจ้าของเว็บไซต์: ทำการติดต่อผู้ดูแลเว็บไซต์เพื่อสอบถามเกี่ยวกับโอกาสในการเขียนบทความแขกบนเว็บไซต์นั้น ๆ โดยมักจะมีแบบฟอร์มหรือข้อมูลที่แจ้งให้เป็นที่รู้แล้ว
- เขียนเนื้อหาคุณภาพ: พัฒนาบทความที่มีคุณค่าและน่าสนใจสำหรับผู้อ่านของเว็บไซต์นั้น ๆ ประกอบด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและมีประโยชน์ เพื่อให้เจ้าของเว็บไซต์พอใจและยอมรับเผยแพร่
- แนบลิงค์กลับไปยังเว็บไซต์ของคุณ: การแนบลิงค์กลับไปยังเว็บไซต์ของคุณเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้ผู้อ่านที่สนใจสามารถเข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้และเพิ่มความน่าสนใจในการติดตามเนื้อหาเพิ่มเติม
- การตรวจทานและการตรวจสอบ: ตรวจทานเนื้อหาให้แน่ใจว่าถูกต้องทุกประการและสอดคล้องกับข้อกำหนดของเว็บไซต์ที่ต้องการเผยแพร่ รวมถึงการตรวจสอบการใช้งานภาษาและการสะกดคำที่ถูกต้อง
4. การใช้งาน Directory Submission
การใช้งาน Directory Submission เป็นหนึ่งในกลยุทธ์เพื่อสร้าง Backlink และเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ แต่การทำ Directory Submission ต้องทำอย่างระมัดระวัง เพราะมีผลกระทบต่อ SEO ของเว็บไซต์ได้ ดังนั้น นี่คือขั้นตอนที่ควรปฏิบัติ
- ค้นหา Directory ที่มีคุณภาพ: เลือก Directory ที่มีความเกี่ยวข้องกับสาขาธุรกิจของคุณและมีคุณภาพสูง ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่ม Backlink แต่ยังส่งผลดีต่อ SEO
- อ่านและปฏิบัติตามข้อกำหนด: อ่านข้อกำหนดและเงื่อนไขของแต่ละ Directory ให้ละเอียด และปฏิบัติตามข้อกำหนดเช่น การเลือกหมวดหมู่ที่เหมาะสม และการกรอกรายละเอียดเว็บไซต์อย่างถูกต้อง
- เลือกการใช้ Anchor Text อย่างระมัดระวัง: ใช้ Anchor Text ที่เกี่ยวข้องและไม่หลีกเลี่ยงการใช้ Keyword ที่เกินไปหรือการใช้โค้ดที่ไม่สุภาพ
- การรักษาคุณภาพ: เลือก Directory ที่มีคุณภาพและไม่ใช้ Directory ที่มีคุณภาพต่ำหรือมีการเพิ่มลิงค์อัตโนมัติที่ไม่ถูกต้อง