Google Core Updates 2024 มีการอัปเดตอย่างไรบ้าง ?
Google มีการอัปเดตอัลกอริทึ่มของตนเพื่อปรับปรุงประสบการณ์การค้นหาของผู้ใช้และจัดอันดับเว็บไซต์ให้มีคุณภาพสูงและมีประโยชน์มากที่สุด โดยการอัปเดตที่สำคัญในช่วงนี้มีดังนี้
1. Helpful content update (HCU)
Google ได้อัพเดทอัลกอริทึ่มเพื่อปรับปรุงการจัดอันดับเว็บไซต์ด้วย Helpful Content Update (HCU) ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การจัดอันดับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่มีประโยชน์ต่อผู้ใช้จริง ๆ มากกว่าเว็บไซต์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อเอาใจระบบค้นหา (Search Engine) โดย HCU ประกอบด้วยหลักการสำคัญ 3 ประการดังนี้
- ประโยชน์: เนื้อหาควรมีประโยชน์ต่อผู้ใช้ ช่วยให้พวกเขาเข้าใจหัวข้อที่ต้องการได้ดีขึ้น การเขียนเนื้อหาที่ตอบโจทย์และให้ข้อมูลที่ผู้ใช้ต้องการอย่างแท้จริง
- ความน่าเชื่อถือ: เนื้อหาควรมาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญ และมีข้อมูลอ้างอิงที่ถูกต้อง ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเนื้อหานั้น ๆ
- ความเป็นจริง: เนื้อหาควรเป็นความจริง ปราศจากข้อมูลเท็จ หรือข้อมูลที่บิดเบือน เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์
การอัพเดทนี้ช่วยให้ผลการค้นหามีคุณภาพมากขึ้น โดยการจัดอันดับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้
2. Spam Update
Spam Update ล่าสุดจาก Google มุ่งเป้าไปที่การตรวจจับลิงก์สแปมประเภท “buying links” ที่ใช้เพื่อสร้าง backlink ปลอมๆ ไปยังเว็บไซต์ โดยการอัพเดทนี้มีผลกระทบต่อเว็บไซต์ทุกภาษาทั่วโลก โดยเว็บไซต์ที่ใช้ “buying links” อาจถูกลงโทษโดย Google ซึ่งอาจส่งผลต่ออันดับในการค้นหา
รายละเอียดสำคัญของ Spam Update
- การตรวจจับลิงก์สแปม: มุ่งเน้นไปที่การค้นหาลิงก์ที่ถูกซื้อมาเพื่อสร้าง backlink ปลอมๆ
- ผลกระทบทั่วโลก: การอัพเดทนี้มีผลกระทบต่อเว็บไซต์ในทุกภาษา
- การลงโทษ: เว็บไซต์ที่ถูกตรวจพบว่าใช้ “buying links” อาจถูกลงโทษ ซึ่งอาจทำให้อันดับในการค้นหาลดลงอย่างมาก
3. Scaled content abuse
การ “Scaled content abuse” เป็นประเภทหนึ่งของการละเมิดทางคุณภาพของเนื้อหาที่สร้างโดยอัตโนมัติ (AI-generated content) ที่มีลักษณะเด่นคือ
- การสร้างเนื้อหาจำนวนมากโดยอัตโนมัติ: เว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มบางรายใช้ AI เพื่อสร้างเนื้อหาอัตโนมัติโดยไม่มีการตรวจสอบจากมนุษย์ ผลลัพธ์ที่ได้มักมีคุณภาพต่ำ, ไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่แท้จริง, และมักจะมีการใช้ Keyword แบบสแปมอย่างมากในเนื้อหาของพวกเขา
- การสร้างเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาซ้ำๆ: เว็บไซต์เหล่านี้อาจสร้างเว็บไซต์หลายรายที่มีเนื้อหาที่คล้ายกันหรือเหมือนกันทั้งหมด เป้าหมายสำคัญของการทำเช่นนี้อาจเป็นเพื่อ “Link farming” ซึ่งหมายถึงการสร้างลิงก์ภายในเว็บไซต์เหล่านี้เพื่อเพิ่มค่า SEO หรือการจัดอันดับในการค้นหาของเว็บไซต์อื่นๆ
การ “Scaled content abuse” เป็นปัญหาที่ทำให้ผู้ใช้ประสบความไม่สะดวกและมีความเสียหายต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ที่ต้องพบกับเนื้อหาที่ไม่มีคุณค่าหรือเนื้อหาที่เกี่ยวข้องในการค้นหาของพวกเขาได้
4. Site reputation abuse
“Site reputation abuse” หมายถึงการละเมิดชื่อเสียงของเว็บไซต์ โดยการนำเนื้อหาที่มีคุณภาพต่ำจากเว็บไซต์อื่นมาโพสต์หรือเผยแพร่บนเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือ เพื่อใช้ประโยชน์จากความเชื่อถือของเว็บไซต์นั้นในการเพิ่มคะแนน SEO หรือการอันดับในผลการค้นหา การกระทำดังกล่าวถือเป็นการสแปมที่มีจุดประสงค์ทางการตลาดและอาจทำให้เว็บไซต์ที่กระทำ Site reputation abuse ได้รับการลงโทษจาก Google ซึ่งอาจส่งผลต่ออันดับในผลการค้นหาของเว็บไซต์นั้นๆ ด้วยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทำ Site reputation abuse
5. Expired domain abuse
การละเมิดโดเมนที่หมดอายุนั้นเป็นการใช้โดเมนที่หมดอายุในทางที่ผิดกฎหมายหรือกฎระเบียบของเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการทำ SEO หรือการเพิ่มความสำคัญของเว็บไซต์ โดยมีหลายวิธีที่ผู้ทำ SEO หรือผู้ดำเนินการเว็บไซต์อาจใช้โดเมนที่หมดอายุได้ เช่น
- การใช้โดเมนที่มี Backlink สูง: การซื้อโดเมนที่หมดอายุที่มี Backlink สำคัญแล้วนำมาใช้ใหม่โดยเปลี่ยนเนื้อหาหรือเพิ่มลิงก์ไปยังเว็บไซต์หลัก เพื่อเพิ่มความสำคัญของเว็บไซต์ใหม่ในการค้นหาของ Google
- การเปลี่ยนเส้นทางโดเมน: การซื้อโดเมนที่หมดอายุแล้วนำมาใช้ใหม่โดยทำ redirect 301 ไปยังเว็บไซต์หลัก เพื่อโอกาสที่จะส่งอำนาจ SEO จากโดเมนที่หมดอายุไปยังเว็บไซต์ใหม่ที่ต้องการเสริมความสำคัญในการค้นหา
การกระทำเช่นนี้ถือเป็นการละเมิดตามนโยบายการใช้งานของ Google และอาจทำให้เว็บไซต์ถูกลดคะแนนหรือถูกลบออกจากผลการค้นหาได้ การใช้โดเมนที่หมดอายุควรทำอย่างสมควรตามหลักการทางกฎหมายและกฎระเบียบเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อเว็บไซต์และการดำเนินธุรกิจทางอินเทอร์เน็ตในระยะยาว
เคล็ดลับทำ SEO แห่งปี 2024 มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ?
1. การตั้งวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์
การตั้งวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีความเป็นมาตรฐานและเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้อควรพิจารณาเมื่อวางแผนทำเนื้อหาของเว็บไซต์ได้แก่
- โมเดลหาลูกค้าหรือหาเงิน: กำหนดว่าเว็บไซต์จะใช้เป็นเครื่องมือในการขายสินค้า, บริการ, รีวิวสินค้าแบบมี sponsored หรือ affiliate, หรือเป็นเว็บไซต์สื่อ/ข่าว/วาไรตี้ เพื่อให้เนื้อหาสอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักของเว็บไซต์
- การวางแผนเนื้อหา: ให้เริ่มต้นจากการค้นหา keyword ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณเพื่อทำ SEO ให้เว็บไซต์มีการติดอันดับที่ดีในผลการค้นหา ต่อมาค่อยทำบทความที่เชื่อมโยงกับความรู้หรือเนื้อหาทั่วไป
- การแยกเว็บไซต์: ถ้ามีสินค้าหลายหมวดหมู่มาก ควรพิจารณาแยกเว็บไซต์ตามหมวดหมู่ เช่น เว็บไซต์สำหรับสินค้าสำหรับแมวและเว็บไซต์สำหรับสินค้าสำหรับสุนัข เพื่อให้การจัดการและการทำ SEO เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
- การสร้างแบรนด์: สำหรับเว็บไซต์ประเภทสื่อ/ข่าว/วาไรตี้ การสร้างแบรนด์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อเชื่อมโยงกับความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือของเนื้อหา
- ควบคุมเนื้อหา: สำหรับเว็บไซต์รีวิวสินค้าแบบ sponsored หรือ affiliate ควรให้เนื้อหามีการปรับทิศทางเดียวกันและไม่จับฉ่ายเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในตลาด
การวางแผนเนื้อหาเหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีผลลัพธ์ที่ดีในการค้นหาและเพิ่มโอกาสในการเจริญเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว
2. การเลือก Niche เฉพาะทาง
การเลือก Niche เฉพาะทางเป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการทำเว็บไซต์หลังจาก Google Core Update เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งช่วยให้เว็บไซต์เล็กๆ สามารถติดอันดับได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการแข่งขันกับเว็บไซต์ใหญ่ๆ ที่มีความหลากหลายในหมวดหมู่สินค้าหรือบริการมากๆ การแยกเว็บไซต์ตาม Niche ที่เฉพาะเจาะจงจะช่วยให้การทำ SEO มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้ดังนี้
- เน้น SEO ที่มีประสิทธิภาพ: การมีเว็บไซต์ที่เน้นไปที่หมวดหมู่เดียวจะช่วยให้ง่ายต่อการค้นหาและติดอันดับในผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องมากขึ้น โดยเฉพาะคำค้นหาที่เป็นตัวสำคัญใน Niche นั้นๆ
- การบริหารจัดการเนื้อหา: แยกเว็บไซต์ตามหมวดหมู่สินค้าหรือบริการจะช่วยให้สามารถจัดการเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่ต้องสับสนหรือซ้ำซ้อนข้อมูลระหว่างหมวดหมู่
- การกำหนดบทความที่เชื่อถือได้: การทำเนื้อหาที่เชื่อถือได้และเฉพาะเจาะจงใน Niche ที่เลือกจะช่วยให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นในสาขาธุรกิจนั้นๆ
- การพัฒนาแบรนด์: เว็บไซต์ที่มีการเน้น Niche เฉพาะทางสามารถช่วยในการสร้างแบรนด์และความรู้จำในตลาดได้ดีขึ้น เนื่องจากผู้ใช้งานจะรู้จักและค้นหาเว็บไซต์นั้นเมื่อมีความต้องการในสินค้าหรือบริการนั้นๆ
การวางแผนทำเว็บไซต์โดยแยกเป็นหลายเว็บตาม Niche ที่เฉพาะเจาะจงเป็นกลยุทธ์ที่ดีเพื่อให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพในการแข่งขันในตลาดออนไลน์และในการทำ SEO อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
3. การวางแผนการเลือก keyword
การวางแผนการเลือก keyword ที่จะทำ SEO ให้ดีเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับในผลการค้นหา Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นนี่คือเทคนิคที่ง่ายๆ สำหรับการวางแผน keyword ที่คุณสามารถใช้ได้
- เลือก Keyword ที่เป็นตัวสำคัญ (Money Keywords): เลือกทำ SEO กับ keyword ที่เป็นชื่อสินค้าหรือบริการที่คุณขายในเว็บไซต์ของคุณก่อน เช่น ชื่อสินค้าหรือบริการหลักที่คุณต้องการให้ลูกค้าหาเจอ โดยการค้นหาที่เป็นชื่อสินค้าหรือบริการมักจะเป็น keyword ที่มีการค้นหาและความนิยมสูง
- ทำเนื้อหาหน้าสินค้าหรือบริการให้ดี: หลีกเลี่ยงการซ้ำเนื้อหาหรือการสร้างเนื้อหาที่ซับซ้อนมาก โดยให้เน้นทำเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงและเน้นไปที่ keyword ที่เลือกไว้ เพื่อให้เว็บไซต์ได้รับการตีพิมพ์เป็นผู้เชี่ยวชาญในสินค้าหรือบริการนั้นๆ
- เตรียมความพร้อมก่อนเขียน Blog หรือบทความสนับสนุน: หลีกเลี่ยงการทำ Blog หรือบทความสนับสนุนก่อนที่จะได้ทำเนื้อหาหน้าสินค้าหรือบริการให้เสร็จสมบูรณ์ก่อน ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับความพร้อมของเนื้อหาหลักก่อนเพื่อให้ Google รับรู้ความสำคัญของเว็บไซต์ในเรื่องที่ทำ SEO
- ระวังการทำซ้ำเนื้อหา: ระวังการทำซ้ำเนื้อหาที่เป็นไปได้ระหว่างหน้าสินค้าหรือบริการกับบทความ ซึ่งอาจทำให้ Google เลือกทำอันดับเว็บของคุณผิดหน้า
- ปรับปรุงและประเมินผล: หลังจากที่ได้ทำเนื้อหาหน้าสินค้าหรือบริการที่เลือก keyword แล้ว ควรทำการปรับปรุงและประเมินผลการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพในการติดอันดับใน Google อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้เทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดออนไลน์และเพิ่มโอกาสในการติดอันดับใน Google อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. ทำเนื้อหาให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้
การทำเนื้อหาให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้ใช้และความต้องการในการค้นหา (search intent) เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับใน Google ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือบางแนวทางสำหรับการจัดเนื้อหาเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้
- การวิเคราะห์ Search Intent: ก่อนที่จะเริ่มเขียนเนื้อหา ควรทำการวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้ที่ค้นหา keyword นั้นๆ ว่าพวกเขาต้องการอะไรบ้าง เช่น คำตอบทางเทคนิค, ข้อมูลเชิงลึก, ราคาสินค้า หรือการวิจัยเพื่อการซื้อสินค้า
- การนำเสนอข้อมูล: ขึ้นอยู่กับประเภทของ keyword ที่คุณเลือก หากเป็นสินค้าเช่นท่อ PVC ควรเน้นการนำเสนอรายละเอียดทางเศรษฐกิจ เช่น ราคาส่งและปลีก, นโยบายการจัดส่ง, ข้อตกลงการซื้อขาย ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อหรือต้องการข้อมูลเชิงลึก
- ความยาวของเนื้อหา: ไม่มีกฎหมายเสียตัวในการกำหนดความยาวของเนื้อหา ควรให้ความสำคัญกับการให้ข้อมูลที่ครอบคลุมและตอบโจทย์ของผู้ใช้ หากเนื้อหาสามารถตอบคำถามและประโยชน์ได้โดยพอใจในระดับที่น่าพอใจ มันจะช่วยให้ผู้ใช้ที่เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณมีประสบการณ์ที่ดี
- การตรวจสอบ User Experience: Google จะพิจารณาประสบการณ์การใช้งานบนเว็บไซต์ของคุณเพื่อการตัดสินใจในการติดอันดับ แนะนำให้ใช้เครื่องมือวัดประสิทธิภาพเว็บไซต์ เช่น Google Analytics เพื่อติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้
- การประเมินผล: หลังจากที่ได้ทำเนื้อหาแล้ว ควรตรวจสอบผลการทำ SEO และปรับปรุงตามต้องการ เพื่อให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพที่ดีในการติดอันดับใน Google
การทำเนื้อหาที่มีคุณภาพและเน้นไปที่ความต้องการของผู้ใช้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพในการ SEO และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้เยี่ยมชมมากขึ้น
แนวโน้มการทำการตลาดในอนาคต
ในปัจจุบัน Google มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง และมีชื่อเสียงที่ดีขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์การค้นหาที่ดีที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ สิ่งที่ Google พยายามอัปเดตและให้ความสำคัญอาจรวมถึง
- ความน่าเชื่อถือของโดเมน: เว็บไซต์ที่มีประวัติความเชื่อถือและไม่มีประวัติการละเมิดเป็นต้น
- อายุของโดเมน: โดเมนที่มีอายุเยอะๆ อาจมีการเห็นและการจัดอันดับที่ดีกว่าโดเมนที่ใหม่
- ชื่อโดเมนที่มีชื่อเสียง: เว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงในวงการหรือในชุมชนอาจได้รับการประเมินเป็นบวก
- ความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง: เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญและเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้งาน
- การเคลื่อนไหวและการอัพเดท: เว็บไซต์ที่มีการอัพเดทเนื้อหาสม่ำเสมอและมีข้อมูลใหม่ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
- จำนวนการเข้าชม (Traffic): เว็บไซต์ที่มีจำนวนผู้เข้าชมมากอาจถูกพิจารณาว่ามีความนิยมและเป็นที่นิยม
- Backlink จากเว็บไซต์ใหญ่ๆ: การมี Backlink จากเว็บไซต์ที่มีอิทธิพลสูงอาจช่วยเพิ่มความสำคัญของเว็บไซต์ในการค้นหา
การเข้าใจแนวโน้มเหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสที่ดีขึ้นในการติดอันดับในผลการค้นหาของ Google และเพิ่ม Traffic เข้าสู่เว็บไซต์ของคุณอีกด้วย