ผู้ให้บริการด้าน Social Media Marketing อันดับ 1

การทำ Page Speed เพิ่มความเร็วเว็บไซต์ ส่งผลดีอย่างไร ?

การทำ Page Speed เพิ่มความเร็วเว็บไซต์ ส่งผลดีอย่างไร ?
การทำ Page Speed หรือความเร็วในการโหลดหน้าเว็บเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสบการณ์ของผู้ใช้งานและการจัดอันดับในผลการค้นหาของ Google ซึ่งการปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บมีประโยชน์หลายประการ แต่วิธีการเพิ่มความเร็วให้กับเว็บไซต์จะมีรายละเอียดอย่างไรบ้างนั้น SocialIn.One จะพาทุกท่านไปศึกษาวิธีการทำ Page Speed กัน

การทำ Page Speed คืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไรต่อการทำ SEO

การวัดค่า Page Speed เป็นการประเมินความเร็วในการแสดงผลเนื้อหาของหน้าเว็บเพจ ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น โดยมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ส่งผลต่อความเร็ว เช่น

  1. ขนาดของรูปภาพ: รูปภาพที่มีขนาดใหญ่จะใช้เวลาในการโหลดมากขึ้น ควรปรับขนาดและรูปแบบไฟล์ให้เหมาะสม
  2. วิดีโอ: การฝังวิดีโอจากแหล่งภายนอกหรือการใช้วิดีโอที่มีขนาดใหญ่สามารถทำให้หน้าเว็บโหลดช้าลง
  3. HTML: โค้ด HTML ที่มีขนาดใหญ่หรือไม่มีการจัดการที่ดีอาจทำให้เวลาในการโหลดเพิ่มขึ้น
  4. CSS: ไฟล์ CSS ที่ไม่มีการรวมโค้ดหรือมีขนาดใหญ่จะทำให้การเรนเดอร์หน้าเว็บช้าลง
  5. JavaScript: การใช้ JavaScript มากเกินไปหรือไม่มีการจัดการที่ดีจะทำให้การโหลดและการประมวลผลของหน้าเว็บช้าลง
  6. เว็บเซิร์ฟเวอร์: ความเร็วและความสามารถในการตอบสนองของเว็บเซิร์ฟเวอร์มีผลต่อความเร็วในการโหลด
  7. ระบบปฏิบัติการ: ระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์ที่ใช้เข้าชมเว็บมีผลต่อความเร็วในการประมวลผล
  8. เว็บเบราว์เซอร์: เบราว์เซอร์ที่แตกต่างกันมีวิธีการประมวลผลหน้าเว็บที่แตกต่างกัน ส่งผลให้เวลาในการโหลดไม่เท่ากัน

การวัดค่า Page Speed บน Desktop และอุปกรณ์เคลื่อนที่

การวัดค่า การทำ Page Speed จะแยกการวัดระหว่างการแสดงผลบน Desktop และบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เนื่องจากทั้งสองมีข้อจำกัดและเทคโนโลยีที่ต่างกัน เช่น

  • Desktop: มีพลังประมวลผลสูงและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มักจะเสถียรมากกว่า
  • อุปกรณ์เคลื่อนที่: มักมีพลังประมวลผลต่ำกว่าและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่อาจไม่เสถียรหรือช้ากว่า

เครื่องมือในการวัดการทำ Page Speed

การใช้เครื่องมือวัด การทำ Page Speed สามารถช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและรายละเอียดที่ต้องปรับปรุงได้ เช่น

  • Google PageSpeed Insights: เครื่องมือนี้จะวัดความเร็วในการโหลดหน้าเว็บและให้คะแนนทั้งบน Desktop และอุปกรณ์เคลื่อนที่ พร้อมทั้งแนะนำวิธีการปรับปรุง
  • Lighthouse: เครื่องมือโอเพนซอร์สจาก Google ที่สามารถใช้วัดและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บแอปพลิเคชัน รวมถึงการวัดความเร็วในการโหลด
  • GTmetrix: ให้การวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเว็บไซต์และแนะนำการปรับปรุง

การใช้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณปรับปรุง Page Speed ของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ

การทำ Page Speed มีความสำคัญอย่างไร เหตุใดจึงควรทำ ?

การทำ Page Speed เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของการทำ SEO (Search Engine Optimization) ซึ่ง Google ใช้ในการประเมินประสบการณ์ของผู้ใช้งานเว็บไซต์ หากเว็บไซต์โหลดช้า จะทำให้ผู้ใช้งานรอนานเกินไปและอาจกดปิดหน้าเว็บไป ทำให้เว็บไซต์สูญเสียโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าและขายสินค้า หรือบริการไปได้อย่างง่ายดาย

ปัจจัยที่ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสถูกคลิกปิด

  • หน้าเว็บใช้งานไม่ได้: ปุ่มและฟีเจอร์ที่กดแล้วไม่ตอบสนองจะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์นั้นไม่เสถียร และไม่สามารถใช้งานได้ตามที่คาดหวัง
  • ข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่เกี่ยวข้อง: ข้อมูลที่ไม่ตอบคำถามของผู้ใช้งาน หรือไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการจะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์ไม่มีประโยชน์
  • การจัดวางเลย์เอาท์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ: การจัดวางที่ทำให้ผู้ใช้งานใช้งานยาก ทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถหาเนื้อหาหรือฟีเจอร์ที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย

ผลกระทบจากการถูกคลิกปิดบ่อยๆ

  • Bounce rate สูง: เมื่อผู้ใช้งานเข้ามาแล้วออกจากเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว จะทำให้เกิดอัตราการตีกลับ (Bounce rate) ที่สูงขึ้น
  • การจัดอันดับลดลง: Google มองว่าเว็บไซต์ที่มี Bounce rate สูงเป็นเว็บไซต์ที่มีประสบการณ์ผู้ใช้งานที่ไม่ดี ซึ่งจะส่งผลให้การจัดอันดับของเว็บไซต์นั้นลดลง

การปรับปรุงเพื่อเพิ่ม Page Speed และลด Bounce rate

  • ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ: ลดขนาดของไฟล์รูปภาพและวิดีโอ, ใช้การบีบอัดไฟล์, เปิดใช้การแคช, และลดการใช้ JavaScript และ CSS ที่ไม่จำเป็น
  • ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการใช้งาน: ทดสอบปุ่มและฟีเจอร์ต่างๆ บนหน้าเว็บเพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้ถูกต้องและตอบสนองอย่างรวดเร็ว
  • ปรับปรุงเนื้อหาและเลย์เอาท์: มั่นใจว่าเนื้อหาบนหน้าเว็บตอบสนองต่อคำถามและความต้องการของผู้ใช้งาน และจัดวางเลย์เอาท์ให้ง่ายต่อการใช้งาน
  • ใช้เครื่องมือวิเคราะห์: ใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics เพื่อติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้งานและระบุจุดที่ต้องปรับปรุง

การทำตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยปรับปรุง Page Speed ลด Bounce rate และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดและรักษาลูกค้าให้อยู่บนเว็บไซต์ของคุณนานขึ้น

core web vitals

วิธีวัดค่า Page Speed ทำได้อย่างไร ?

ในช่วงกลางปี 2021 ทาง Google ได้ประกาศใช้งาน Core Web Vitals ซึ่งเป็นชุดของตัวชี้วัดที่ใช้วัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในแง่ของประสบการณ์ผู้ใช้งาน โดย Core Web Vitals ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่

1. Largest Contentful Paint (LCP): เป็นการวัดเวลาที่ใช้ในการโหลดคอนเทนต์ที่ใหญ่ที่สุดบนหน้าเว็บเพจ ซึ่งอาจเป็นตัวหนังสือ รูปภาพ หรือวิดีโอ การมีค่า LCP ที่ดี (ต่ำกว่า 2.5 วินาที) แสดงว่าหน้าเว็บโหลดเร็วและมอบประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งาน

2. First Input Delay (FID): เป็นการวัดเวลาที่ผู้ใช้งานต้องรอก่อนที่หน้าเว็บจะตอบสนองต่อการปฏิสัมพันธ์ครั้งแรก เช่น การคลิกปุ่ม การมีค่า FID ที่ดี (น้อยกว่า 100 มิลลิวินาที) แสดงว่าหน้าเว็บตอบสนองได้รวดเร็ว

3. Cumulative Layout Shift (CLS): เป็นการวัดความเสถียรของการจัดวาง Layout บนหน้าเว็บเพจ ค่า CLS จะตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งขององค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บ เช่น ปุ่มที่เลื่อนไปมา ข้อความที่เปลี่ยนตำแหน่ง การมีค่า CLS ที่ดี (น้อยกว่า 0.1) แสดงว่าหน้าเว็บมีการจัดวางที่เสถียรและไม่ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกสับสน

นอกจาก Core Web Vitals แล้ว Google ยังใช้ปัจจัยอื่นๆ ในการประเมินประสบการณ์ผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ เช่น

  • Mobile-friendliness: ความเป็นมิตรต่อการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
  • Safe-browsing: ความปลอดภัยของเว็บไซต์ในการป้องกันมัลแวร์และฟิชชิ่ง
  • HTTPS: การใช้ HTTPS เพื่อความปลอดภัยในการเชื่อมต่อ
  • No intrusive interstitials: ไม่มีการแสดงโฆษณาที่รบกวนการใช้งาน เช่น โฆษณาที่ครอบคลุมหน้าจอทั้งหมด

การปรับปรุงเว็บไซต์ตามมาตรฐานของ Core Web Vitals และปัจจัยอื่นๆ เหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นต่อผู้ใช้งานและยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับในผลการค้นหาของ Google ด้วย

แนะนำการใช้ Page Speed Insight เครื่องมือวัดค่าความเร็ว Google

PageSpeed Insights เป็นเครื่องมือจาก Google ที่ช่วยวัดค่า Page Speed และประสิทธิภาพของเว็บไซต์ โดยเครื่องมือนี้สามารถใช้งานได้ฟรีและมีขั้นตอนการใช้งานที่ง่าย ดังนี้

1. เข้าสู่เว็บไซต์ PageSpeed Insights: คุณสามารถเข้าไปที่ PageSpeed Insights ได้โดยตรง

2. ใส่ URL ของหน้าเว็บเพจ: นำ URL ของหน้าเว็บเพจที่ต้องการวิเคราะห์ใส่ในช่องวิเคราะห์ข้อมูล แล้วคลิกปุ่ม “Analyze”

3. การแสดงผลข้อมูล: PageSpeed Insights จะแสดงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพของหน้าเว็บเพจ ทั้งบน Desktop และอุปกรณ์เคลื่อนที่

ข้อมูลที่ PageSpeed Insights แสดง

  • Core Web Vitals
    • Largest Contentful Paint (LCP): แสดงเวลาในการโหลดคอนเทนต์ที่ใหญ่ที่สุด
    • First Input Delay (FID): แสดงเวลาที่ใช้ในการตอบสนองต่อการปฏิสัมพันธ์ครั้งแรก
    • Cumulative Layout Shift (CLS): แสดงค่าความเสถียรของการจัดวาง Layout
  • คะแนนประสิทธิภาพ (Performance Score): คะแนนรวมที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของหน้าเว็บเพจ โดยคะแนนนี้จะอิงตามการวิเคราะห์จากหลายปัจจัย รวมถึง Core Web Vitals
  • ข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำ: PageSpeed Insights จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของหน้าเว็บเพจ และแนะนำจุดที่ควรปรับปรุง เช่น การลดขนาดของไฟล์ภาพ การบีบอัดไฟล์ การลดการใช้ JavaScript และ CSS ที่ไม่จำเป็น เป็นต้น

ข้อมูลเพิ่มเติม

  • Opportunities: ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพ เช่น การใช้รูปแบบภาพที่เหมาะสม การเลื่อนการโหลด JavaScript เป็นต้น
  • Diagnostics: ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของหน้าเว็บ เช่น การใช้ CSS ที่ไม่ได้ใช้ การเรียกใช้สคริปต์ที่บล็อกการเรนเดอร์ เป็นต้น
  • Passed Audits: รายการของการตรวจสอบที่ผ่านไปแล้ว แสดงให้เห็นว่ามีการปฏิบัติตามข้อกำหนดใดบ้างที่ทำให้ประสิทธิภาพดี

การใช้ PageSpeed Insights ช่วยให้คุณทราบข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับประสิทธิภาพของหน้าเว็บเพจและจุดที่ต้องปรับปรุง ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุง การทำ Page Speed และประสบการณ์ของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Page Speed insight

เทคนิคการปรับแต่ง Page Speed เพื่อจัดอันดับ SEO

การปรับแต่ง Page Speed เพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์สามารถทำได้หลายวิธี เทคนิคเบื้องต้นที่ช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นมีดังนี้

1. ลดขนาดไฟล์

การลดขนาดไฟล์เป็นหนึ่งในเทคนิคที่สำคัญในการปรับแต่ง การทำ Page Speed ของเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ดังนี้

1. การลดขนาดรูปภาพ

การใช้เครื่องมือบีบอัดรูปภาพช่วยลดขนาดของไฟล์ภาพโดยที่ไม่สูญเสียคุณภาพสำคัญ สามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น

  • TinyPNG: เครื่องมือที่ใช้ในการบีบอัดภาพ PNG และ JPEG โดยอัตโนมัติโดยลดขนาดไฟล์โดยไม่สูญเสียคุณภาพของรูปภาพมากนัก
  • ImageOptim: ใช้สำหรับบีบอัดรูปภาพหลายประเภทอย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ รวมถึงการลดขนาดของภาพโดยใช้การลบข้อมูลที่ซ้ำซ้อน

การลดขนาดรูปภาพจะช่วยลดการใช้งานแบนด์วิดธ์และเวลาโหลดของเว็บไซต์เช่นกัน

2. การใช้วิดีโอจากแหล่งภายนอก

เพื่อลดภาระการโหลดของเว็บไซต์ ควรพิจารณาใช้การฝังวิดีโอจากแหล่งภายนอก เช่น YouTube แทนการอัพโหลดวิดีโอโดยตรงลงบนเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ของคุณ

  • YouTube: ให้บริการฟรีการฝังวิดีโอที่มีประสิทธิภาพสูง โดยทำให้ผู้ใช้งานสามารถดูวิดีโอได้โดยไม่ต้องโหลดไฟล์ใหญ่มาก
  • การใช้วิดีโอจากแหล่งภายนอกช่วยลดการใช้พื้นที่พักข้อมูลของเซิร์ฟเวอร์และเวลาโหลดของหน้าเว็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. การมินิไฟล์ HTML, CSS, และ JavaScript

การใช้เครื่องมือมินิไฟล์ช่วยลดขนาดของไฟล์ HTML, CSS, และ JavaScript เพื่อลดเวลาโหลดของหน้าเว็บไซต์ สามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น

  • UglifyJS: ใช้ในการบีบอัดและมินิไฟล์ JavaScript โดยลดขนาดไฟล์โดยอัตโนมัติ โดยลดขนาดของไฟล์ที่ไม่จำเป็นและลบชุดข้อมูลที่ซ้ำซ้อน
  • CSSNano: ใช้ในการบีบอัดและมินิไฟล์ CSS โดยอัตโนมัติ โดยลดขนาดของไฟล์และลดการใช้งานทรัพยากรที่ไม่จำเป็น

การมินิไฟล์ HTML, CSS, และ JavaScript ช่วยลดขนาดไฟล์ที่โหลดไปยังผู้ใช้งานและเพิ่มความเร็วในการโหลดของหน้าเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ไวยิ่งขึ้น

2. เปิดใช้การแคช

การเปิดใช้งานการแคชเป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่สามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งเป็นการแคชที่เกี่ยวข้องกับเบราว์เซอร์และเซิร์ฟเวอร์ดังนี้

1. เบราว์เซอร์แคช

เบราว์เซอร์แคชคือการเก็บข้อมูลที่เว็บไซต์โหลดลงในเครื่องของผู้ใช้งาน เพื่อให้การเข้าถึงเว็บไซต์ซ้ำๆ ได้เร็วขึ้น เมื่อผู้ใช้งานเข้าเว็บไซต์ซ้ำ บราวเซอร์จะเรียกใช้ข้อมูลที่เคยโหลดมาแล้วจากแคชโดยไม่ต้องดึงข้อมูลใหม่จากเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยลดเวลาโหลดได้อย่างมีนัยสำคัญ

วิธีเปิดใช้งานเบราว์เซอร์แคช

  • การตั้งค่า HTTP Cache Headers: ใช้คำสั่ง HTTP headers เช่น Cache-Control และ Expires เพื่อบอกเบราว์เซอร์ว่าจะแคชข้อมูลเป็นเวลานานเท่าไร
  • การใช้งาน Service Worker: ใช้ Service Worker เพื่อจัดการแคชข้อมูลอย่างละเอียดในเบราว์เซอร์ และสามารถควบคุมการแคชข้อมูลแม้กระทั่งเมื่อออฟไลน์

2. เซิร์ฟเวอร์แคช

เซิร์ฟเวอร์แคชคือการเก็บข้อมูลที่เว็บไซต์โหลดลงบนเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยลดการประมวลผลที่ซ้ำซ้อนในการสร้างเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์

วิธีเปิดใช้งานเซิร์ฟเวอร์แคช

  • การใช้งาน HTTP Cache: ตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ให้ส่งคำสั่ง HTTP headers เช่น Cache-Control และ Expires พร้อมกับการตั้งค่าการแคชในระดับเซิร์ฟเวอร์
  • การใช้งาน Reverse Proxy: ใช้ Reverse Proxy เช่น Nginx หรือ Apache เพื่อจัดการแคชข้อมูลไว้ก่อนส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์หลัก

ประโยชน์ของการเปิดใช้งานแคช

  • ลดเวลาโหลด: การเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกแคชจะเร็วกว่าการโหลดข้อมูลใหม่จากเซิร์ฟเวอร์
  • ลดการใช้งานแบนด์วิดธ์: เนื่องจากข้อมูลถูกเก็บไว้ในเครื่องหรือเซิร์ฟเวอร์แล้ว ลดการส่งข้อมูลไป-กลับระหว่างเว็บบราวเซอร์กับเซิร์ฟเวอร์
  • ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์: การใช้งานแคชบนเซิร์ฟเวอร์ช่วยลดการประมวลผลซ้ำซ้อนของเนื้อหาเว็บไซต์

การเปิดใช้งานการแคชเป็นเทคนิคที่สามารถทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ในการโหลดสำหรับผู้ใช้งาน

cache

3. ใช้ Content Delivery Network (CDN)

การใช้ Content Delivery Network (CDN) เป็นเทคนิคอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหลักการของ CDN คือการกระจายเนื้อหาของเว็บไซต์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ที่ตั้งอยู่ทั่วโลก และให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเนื้อหาจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุดกับสถานที่ที่พวกเขาอยู่ ซึ่งมีประโยชน์หลายด้านดังนี้

1. ลดเวลาโหลดเนื้อหา

CDN ช่วยลดเวลาในการโหลดเนื้อหาของเว็บไซต์ได้โดยส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุดกับผู้ใช้งาน ซึ่งลดการล่าช้าในการโหลดจากเซิร์ฟเวอร์ที่ห่างไกล

2. ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์หลัก

เนื่องจาก CDN จะช่วยกระจายการเข้าถึงของผู้ใช้งานไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ที่อยู่ใกล้พื้นที่ของพวกเขา ทำให้เซิร์ฟเวอร์หลักไม่ต้องรับภาระการเข้าถึงจากผู้ใช้งานมากเกินไป

3. ความเสถียรของเว็บไซต์

การใช้ CDN ช่วยเพิ่มความเสถียรของเว็บไซต์ในกรณีที่มีการกระจายการโจมตีแบบ DDoS (Distributed Denial of Service) หรือสถานการณ์ที่ซ่อนแสงของการเข้าถึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์หลักได้

4. การเพิ่มประสิทธิภาพของ SEO

การโหลดเว็บไซต์ที่เร็วขึ้นมีผลต่อการจัดอันดับในผลการค้นหาของ Google โดย CDN ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ SEO โดยทั่วไป

วิธีการใช้ CDN

  • เลือกผู้ให้บริการ CDN: เลือก CDN provider ที่มีความเหมาะสมกับความต้องการของเว็บไซต์และผู้ใช้งาน
  • ตั้งค่า DNS: ตั้งค่า DNS ของเว็บไซต์เพื่อใช้ CDN provider โดยการสร้าง CNAME record ที่ชี้ไปยัง CDN
  • การจัดการแคช: ใช้คุณสมบัติต่างๆ ของ CDN เพื่อจัดการแคชเนื้อหาต่างๆ เช่น แคชคอนโทล, การตั้งค่าเวลาของแคช, และการสร้างหรือลบแคชเมนต์ต่างๆ

การใช้ CDN เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสำหรับการปรับปรุงความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

4. ลดการใช้ปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น

การลดการใช้ปลั๊กอินที่ไม่จำเป็นเป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพในการโหลดและการทำงานทั่วไป นี่คือเทคนิคที่สามารถใช้เพื่อจัดการปลั๊กอินอย่างมีประสิทธิภาพ

1. ลบหรือปิดการใช้งานปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น

  • ตรวจสอบปลั๊กอินที่ใช้งานอยู่: ทำการตรวจสอบปลั๊กอินทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ในเว็บไซต์
  • ประเมินประสิทธิภาพ: พิจารณาว่าแต่ละปลั๊กอินมีการใช้งานที่จำเป็นและมีประสิทธิภาพสูงหรือไม่
  • ลบหรือปิดการใช้งาน: ถ้าพบปลั๊กอินที่ไม่ได้ใช้งานหรือไม่จำเป็น ควรพิจารณาลบหรือปิดการใช้งานเพื่อลดการโหลดที่ไม่จำเป็นของเว็บไซต์

2. เลือกปลั๊กอินที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ

  • คุณภาพของปลั๊กอิน: เลือกใช้ปลั๊กอินที่มีคุณภาพดีและได้รับการอัพเดทอย่างสม่ำเสมอจากผู้พัฒนา
  • รีวิวจากผู้ใช้: อ่านรีวิวและความคิดเห็นจากผู้ใช้งานอื่นๆ เพื่อเลือกปลั๊กอินที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยม
  • ประสิทธิภาพ: คำนึงถึงประสิทธิภาพของปลั๊กอินที่มีการใช้งานที่ดีและไม่มีผลกระทบต่อความเร็วของเว็บไซต์

การลดการใช้ปลั๊กอินที่ไม่จำเป็นช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพและความเร็วในการโหลดที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นการจัดการที่สำคัญในการปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ของคุณ

plugin

5. ใช้ปลั๊กอินเพื่อเพิ่มความเร็ว

การใช้ปลั๊กอินเพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่นิยม โดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ที่ใช้แพลตฟอร์ม WordPress มีปลั๊กอินหลายตัวที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพดังนี้

1. ปลั๊กอินแคช

  • W3 Total Cache: เป็นปลั๊กอินที่มีคุณสมบัติในการแคชทั้งหน้าเว็บ, CSS, JavaScript และการเชื่อมต่อฐานข้อมูล เพื่อลดเวลาการโหลดของเว็บไซต์
  • WP Super Cache: ปลั๊กอินที่ง่ายต่อการใช้งาน มีฟีเจอร์การแคชแบบสตาติกและแบบ HTML ที่ช่วยลดการประมวลผลของเซิร์ฟเวอร์

2. ปลั๊กอินบีบอัดรูปภาพ

  • Smush: ปลั๊กอินที่ช่วยในการบีบอัดรูปภาพโดยอัตโนมัติโดยไม่สูญเสียคุณภาพของรูปภาพ
  • EWWW Image Optimizer: ปลั๊กอินที่มีการบีบอัดรูปภาพที่มีประสิทธิภาพสูงและมีตัวเลือกการตั้งค่าต่างๆ สำหรับการบีบอัดรูปภาพ

การใช้ปลั๊กอินเหล่านี้ช่วยลดขนาดของไฟล์ที่ต้องโหลดจากเซิร์ฟเวอร์ ทำให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้นและช่วยลดการใช้งานแบนด์วิดธ์ ซึ่งเป็นการปรับปรุงที่มีผลต่อประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

6. จัดระเบียบโครงสร้างเว็บไซต์

การจัดระเบียบโครงสร้างเว็บไซต์เป็นเทคนิคที่สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการโหลดและการทำงานของเว็บไซต์ นอกจากเทคนิคที่ได้กล่าวถึงแล้ว เช่น การลดคำขอ HTTP, Lazy Loading, และการบีบอัดไฟล์ ยังมีเทคนิคเพิ่มเติมที่สามารถใช้ได้เช่นดังนี้

1. การลดคำขอ HTTP

รวมไฟล์ CSS และ JavaScript: ทำการรวมไฟล์ CSS หรือ JavaScript หลายๆ ไฟล์ให้เป็นไฟล์เดียวกัน เช่น ในการพัฒนาเว็บไซต์ในระหว่างการพัฒนา หรือใช้เครื่องมือที่ช่วยในการรวมไฟล์ เช่น Gulp, Webpack หรือเครื่องมืออื่นๆ ที่สามารถทำการบวกไฟล์เหล่านี้ได้

2. การเลื่อนการโหลด (Lazy Loading)

Lazy Loading รูปภาพและวิดีโอ: ใช้เทคนิคนี้เพื่อให้รูปภาพหรือวิดีโอโหลดเมื่อถูกเรียกดูจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้งานเลื่อนลงมาถึงพื้นที่นั้น ซึ่งช่วยลดการโหลดเริ่มต้นของหน้าเว็บและประหยัดแบนด์วิดธ์

3. การบีบอัดไฟล์

การใช้ Gzip หรือ Brotli: การใช้เทคนิคการบีบอัดไฟล์ที่เข้ารหัส (compression) เช่น Gzip หรือ Brotli จะช่วยลดขนาดของไฟล์ที่ส่งไปยังผู้ใช้งาน เซิร์ฟเวอร์จะบีบอัดไฟล์ก่อนที่จะส่งไปยังเบราว์เซอร์ของผู้ใช้งาน ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น

4. การจัดการรูปแบบไฟล์อื่นๆ

  • การลบรหัสที่ไม่จำเป็น: ประเมินและลบรหัสที่ไม่จำเป็นออกจากไฟล์ CSS และ JavaScript เช่น คอมเมนต์ที่ไม่จำเป็นหรือรหัสที่ไม่ได้ใช้งาน
  • การใช้งาน CDN: นอกจากการกระจายเนื้อหา CDN ยังช่วยลดการโหลดของเว็บไซต์ได้ โดยการจัดเก็บไฟล์สำเนาในเซิร์ฟเวอร์ CDN ที่ตั้งอยู่ใกล้กับผู้ใช้งาน

การนำเทคนิคเหล่านี้มาใช้ร่วมกันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้มีความเร็วและประสบการณ์การใช้งานที่ดีต่อผู้เข้าชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Page Speed

7. อัพเดตเทคโนโลยี

การอัพเดตเทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ โดยการใช้เทคโนโลยีล่าสุดจะช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้รวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น นี่คือเทคนิคที่ควรพิจารณา

1. อัพเดตเวอร์ชันของ PHP และ MySQL

  • PHP: อัพเดต PHP ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่รองรับ เช่น PHP 8.x เนื่องจากเวอร์ชันใหม่มักมีการปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ดีกว่าเวอร์ชันเก่า
  • MySQL: อัพเดต MySQL หรือใช้ MariaDB ซึ่งเป็นการแยกตัวจาก MySQL แต่มีการพัฒนาที่ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูง

การอัพเดตทั้ง PHP และ MySQL ช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลคำสั่งและการเข้าถึงฐานข้อมูล ทำให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้น

2. การใช้โปรโตคอล HTTP/2

  • HTTP/2: เป็นโปรโตคอลที่ถูกพัฒนามาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการโหลดหน้าเว็บเพจ ซึ่งมีความเร็วในการสื่อสารระหว่างเซิร์ฟเวอร์และเบราว์เซอร์ที่ดีกว่า HTTP/1.1 เนื่องจากสามารถโหลดหลายคำขอพร้อมกันในครั้งเดียว (multiplexing) และลดการส่งข้อมูลที่ซ้ำซ้อน
  • วิธีการใช้งาน HTTP/2
  • ตรวจสอบเซิร์ฟเวอร์: ตรวจสอบว่าเซิร์ฟเวอร์ของคุณรองรับ HTTP/2 หรือไม่ และหากไม่รองรับควรพิจารณาอัพเกรดหรือย้ายไปใช้บริการโฮสติ้งที่รองรับ HTTP/2
  • การตั้งค่า SSL: HTTP/2 ทำงานร่วมกับการเชื่อมต่อที่ปลอดภัย (HTTPS) ดังนั้นการติดตั้งและตั้งค่า SSL Certificate เป็นสิ่งจำเป็น

3. ประโยชน์ของการอัพเดตเทคโนโลยี

  • ประสิทธิภาพสูงขึ้น: การอัพเดตเวอร์ชันของ PHP, MySQL, และการใช้ HTTP/2 จะช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลและการโหลดของเว็บไซต์
  • ความปลอดภัย: เวอร์ชันใหม่มักมีการปรับปรุงด้านความปลอดภัยและป้องกันช่องโหว่ที่อาจมีในเวอร์ชันเก่า
  • ประสบการณ์ผู้ใช้งานที่ดีขึ้น: เมื่อเว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น ผู้ใช้งานจะได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่า และมีแนวโน้มที่จะอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น

การอัพเดตเทคโนโลยีเป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับการรักษาความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้ทันสมัยและปลอดภัย

บทส่งท้าย

การใช้เครื่องมือทำ Page Speed เช่น Google PageSpeed Insights, Lighthouse หรือ GTmetrix สามารถช่วยวิเคราะห์และแนะนำวิธีการปรับปรุง Page Speed ของเว็บไซต์ได้ การปรับแต่งความเร็วของหน้าเว็บอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพสูงขึ้นในหลายๆ ด้าน
บริการปั้มไลค์ เพิ่มผู้ติดตาม ปั้มยอดวิว มีครบจบที่ Auto-Like.co

แชร์:

ความคิดเห็น:

หัวข้อเรื่อง