ผู้ให้บริการด้าน Social Media Marketing อันดับ 1

A/B Testing คืออะไร ? ส่งผลอย่างไรต่อธุรกิจ

A/B Testing คืออะไร ? ส่งผลอย่างไรต่อธุรกิจ
A/B Testing การทดลองหรือทดสอบแบบเปรียบเทียบระหว่างสองตัวเลือก (A และ B) เพื่อหาว่าตัวเลือกใดให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นการเพิ่มยอดขาย การเพิ่มอัตราการคลิก หรือการเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ SocialIn.One จะพามาทำความรู้จักให้มากขึ้นและต้องทำอย่างไรให้ส่งผลดีกับธุรกิจ

A/B Testing คืออะไร ?

การทดสอบ A/B Testing เป็นวิธีที่ใช้ในการตลาด การออกแบบเว็บ และการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์สองเวอร์ชันเพื่อดูว่าเวอร์ชันใดมีประสิทธิภาพดีกว่า กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการแบ่งกลุ่มผู้ใช้ออกเป็นสองกลุ่ม (หรือมากกว่านั้น) และแสดงผลิตภัณฑ์หรือเว็บเพจเวอร์ชันต่างๆ แก่แต่ละกลุ่ม (เวอร์ชัน A และเวอร์ชัน B) คุณสามารถระบุได้ว่าเวอร์ชันใดมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน โดยการวัดประสิทธิภาพ (เช่น การคลิก การแปลง หรือการมีส่วนร่วม)

ขั้นตอนการทำ A/B Testing ทำได้อย่างไร ?

ขั้นตอนการทำ A/B Testing มีดังนี้

1. กำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย

ก่อนเริ่มการทดสอบ ควรกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ต้องการเพิ่มอัตราการคลิก (Click-Through Rate, CTR) บนปุ่ม “สั่งซื้อ” หรือต้องการเพิ่มยอดขายในหน้าสินค้า เป็นต้น การกำหนดเป้าหมายชัดเจนจะช่วยให้สามารถวัดผลและตัดสินใจได้ว่าการทดสอบสำเร็จหรือไม่

2. เลือกสิ่งที่จะทดสอบ (Variable)

เลือกองค์ประกอบหรือส่วนที่จะทดสอบ เช่น ทดสอบสีของปุ่ม “ซื้อเลย”, เนื้อหาของคำโปรโมชัน หรือการจัดวางรูปแบบหน้าเว็บ เป็นต้น โดยควรเลือกทดสอบทีละหนึ่งตัวแปรเพื่อให้ได้ผลที่แม่นยำ

3. สร้างเวอร์ชัน A และ B

  • เวอร์ชัน A (Control): คือเวอร์ชันปัจจุบันหรือแบบที่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงใด ๆ
  • เวอร์ชัน B (Variation): คือเวอร์ชันที่มีการปรับเปลี่ยน เช่น เปลี่ยนสีของปุ่ม หรือปรับข้อความให้แตกต่างจากเวอร์ชัน A

4. กำหนดกลุ่มเป้าหมาย

แบ่งกลุ่มผู้ใช้ออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะเห็นเวอร์ชัน A และอีกกลุ่มหนึ่งจะเห็นเวอร์ชัน B โดยการแบ่งนี้ควรเป็นแบบสุ่มและมีจำนวนกลุ่มที่เท่ากันหรือใกล้เคียงเพื่อความแม่นยำของการทดลอง

5. ดำเนินการทดสอบ

เริ่มการทดสอบโดยเปิดให้ผู้ใช้เข้าถึงทั้งเวอร์ชัน A และ B เป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งระยะเวลาควรเพียงพอที่จะได้ข้อมูลที่มากพอในการวิเคราะห์ เช่น อาจทดสอบเป็นระยะเวลา 1-2 สัปดาห์

6. รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล

หลังจากสิ้นสุดการทดสอบ ควรรวบรวมข้อมูลเช่น อัตราการคลิก (CTR), อัตราการแปลง (Conversion Rate) หรือยอดขายที่เกิดขึ้นในแต่ละเวอร์ชัน แล้วนำมาวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบว่าเวอร์ชันใดมีประสิทธิภาพดีกว่า

7. ตัดสินใจและนำไปใช้

หากเวอร์ชัน B มีผลลัพธ์ที่ดีกว่าเวอร์ชัน A ก็สามารถนำเวอร์ชัน B ไปใช้งานจริงได้ แต่หากผลการทดสอบไม่แตกต่างกันหรือเวอร์ชัน A ยังดีกว่า ก็อาจพิจารณาทำการทดสอบใหม่ หรือใช้เวอร์ชัน A ต่อไป

8. ทำการทดสอบซ้ำ

A/B Testing เป็นกระบวนการที่ทำซ้ำได้ หากต้องการพัฒนาส่วนอื่น ๆ ของเว็บไซต์หรือผลิตภัณฑ์ ก็สามารถทำการทดสอบครั้งใหม่เพื่อพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ

A/B Testing

การทำ A/B Test นานแค่ไหน ?

การทำ A/B Testing ควรดำเนินการในระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีความน่าเชื่อถือ ระยะเวลาที่ใช้ในการทดสอบขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์, อัตราการแปลง (Conversion Rate) และระดับของความเชื่อมั่นทางสถิติ (Statistical Significance) ที่ต้องการ โดยทั่วไปสามารถพิจารณาได้ดังนี้

1. จำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์

ถ้าเว็บไซต์ของคุณมีผู้เข้าชมมาก การทดสอบอาจใช้เวลาสั้นลง เนื่องจากสามารถรวบรวมข้อมูลที่เพียงพอในเวลาที่สั้นกว่า แต่หากเว็บไซต์มีผู้เข้าชมน้อย อาจต้องใช้เวลามากขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่มีความแม่นยำ

2. ค่าอัตราการแปลง (Conversion Rate)

หากอัตราการแปลงของคุณต่ำ (เช่น มีผู้เข้าชมจำนวนมากแต่แปลงเป็นลูกค้าน้อย) อาจต้องใช้เวลานานขึ้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่เพียงพอสำหรับการวิเคราะห์ ในทางตรงกันข้าม หากอัตราการแปลงสูง การทดสอบอาจใช้เวลาสั้นลง

3. ความน่าเชื่อถือทางสถิติ (Statistical Significance)

โดยปกติแล้ว ค่า p-value ที่น้อยกว่า 0.05 จะถือว่าผลลัพธ์มีนัยสำคัญทางสถิติ (Statistical Significance) ซึ่งการจะบรรลุค่านี้ได้ต้องทดสอบในระยะเวลาที่นานพอที่จะรวบรวมข้อมูลที่มากพอ การทดสอบที่สั้นเกินไปอาจทำให้ผลลัพธ์ไม่น่าเชื่อถือ

4. ช่วงเวลาที่ควรทำการทดสอบ

การทดสอบ A/B ควรทำในช่วงเวลาที่ครอบคลุมทุกลักษณะของการใช้บริการของลูกค้า เช่น ควรทำการทดสอบอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ครอบคลุมพฤติกรรมของผู้ใช้ในทุกวันของสัปดาห์ (Weekdays และ Weekends) เพราะพฤติกรรมของผู้ใช้ในแต่ละวันอาจแตกต่างกัน

5. ช่วงเวลาทดสอบที่เหมาะสม

  • ขั้นต่ำ: ควรทำการทดสอบอย่างน้อย 1 สัปดาห์เพื่อให้ครอบคลุมพฤติกรรมผู้ใช้ในทุกช่วงเวลา
  • แนะนำ: 2-4 สัปดาห์สำหรับการทดสอบที่ครอบคลุมและได้ข้อมูลที่แม่นยำยิ่งขึ้น
  • หากทดสอบในระยะเวลาที่นานเกินไป ผู้ใช้ที่เคยเห็นทั้งเวอร์ชัน A และ B อาจจะเริ่มรู้ตัวว่ากำลังถูกทดสอบ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ได้

6. หยุดทดสอบเมื่อได้ข้อมูลที่เพียงพอ

ไม่ควรหยุดการทดสอบก่อนที่จะได้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจ แม้ว่าผลการทดสอบจะดูดีในช่วงแรก ๆ ก็ตาม ควรรอจนกว่าผลลัพธ์จะมีความชัดเจนและมีนัยสำคัญทางสถิติแล้วเท่านั้น

ดังนั้น การทำ A/B Test ควรมีระยะเวลาทดสอบประมาณ 1-2 สัปดาห์เป็นอย่างน้อย แต่ระยะเวลาที่แน่นอนอาจแตกต่างกันไปตามปัจจัยข้างต้นเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้และมีความแม่นยำ

เครื่องมือแนะนำที่ใช้ทำ A/B Test

การทำ A/B Testing ต้องอาศัยเครื่องมือที่ช่วยในการจัดการทดสอบ รวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์
ผลลัพธ์ ซึ่งมีเครื่องมือหลายตัวที่สามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมกับธุรกิจของคุณ นี่คือเครื่องมือ A/B Testing ที่แนะนำ

1. Google Optimize (ฟรี)

  • คุณสมบัติเด่น: สามารถเชื่อมต่อกับ Google Analytics ได้ ทำให้สามารถติดตามข้อมูลการทดสอบในเชิงลึกได้ง่าย
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงกลาง หรือผู้ที่เริ่มต้นใช้งาน A/B Testing
  • ข้อดี: ใช้งานง่าย และมีฟีเจอร์ครอบคลุมสำหรับการทดสอบพื้นฐาน เช่น A/B Testing และ Multivariate Testing

2. Optimizely

  • คุณสมบัติเด่น: เป็นเครื่องมือ A/B Testing ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง โดยมีฟีเจอร์การทดสอบที่หลากหลายทั้งสำหรับเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมือถือ
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงใหญ่ที่ต้องการความยืดหยุ่นและฟีเจอร์ขั้นสูง
  • ข้อดี: มีฟีเจอร์การทดสอบขั้นสูง เช่นการทดสอบหลายตัวแปร (Multivariate Testing), การทดสอบในระดับเชิงลึก และการเพิ่มประสิทธิภาพในส่วนของ Conversion

3. VWO (Visual Website Optimizer)

  • คุณสมบัติเด่น: มีอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับการทดสอบ A/B แบบเรียลไทม์ และมีฟีเจอร์ในการวิเคราะห์ผลการทดสอบอย่างละเอียด
  • การใช้งาน: เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการทดสอบการเปลี่ยนแปลงบนเว็บไซต์และปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้
  • ข้อดี: การตั้งค่าไม่ยุ่งยาก และมีฟีเจอร์เพิ่มเติมเช่นการบันทึกวิดีโอของผู้ใช้งาน, การติดตามความร้อน (Heatmap)

4. AB Tasty

  • คุณสมบัติเด่น: เครื่องมือที่เน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) และการทดสอบเชิงลึก
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการเครื่องมือที่ผสานการทดสอบ A/B กับการปรับแต่งประสบการณ์ผู้ใช้
  • ข้อดี: มีฟีเจอร์การทดสอบที่ครอบคลุม เช่น การทดสอบหลายตัวแปร (Multivariate Testing), การทดสอบแบบ Split URL และการทำ Personalization

5. Unbounce

  • คุณสมบัติเด่น: เป็นเครื่องมือที่เน้นการสร้างหน้า Landing Page และทำการทดสอบ A/B เพื่อเพิ่ม Conversion
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับนักการตลาดหรือธุรกิจที่ต้องการทดสอบและปรับปรุงหน้า Landing Page โดยเฉพาะ
  • ข้อดี: มีเทมเพลตให้เลือกใช้งานง่าย ไม่ต้องเขียนโค้ด และสามารถติดตามผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ได้

6. Convert

  • คุณสมบัติเด่น: เป็นเครื่องมือ A/B Testing ที่เหมาะสำหรับการทดสอบการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ บนเว็บไซต์ และมีความยืดหยุ่นสูง
  • การใช้งาน: เหมาะกับธุรกิจขนาดกลางและใหญ่ที่ต้องการทดสอบหลายตัวแปรในเวลาเดียวกัน
  • ข้อดี: รองรับการทดสอบหลายตัวแปร (Multivariate Testing), Split Testing และมีการสนับสนุนลูกค้าอย่างดี

7. Kameleoon

  • คุณสมบัติเด่น: รองรับการทดสอบทั้ง A/B และ AI-driven experimentation ซึ่งใช้ AI ในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทดสอบ
  • การใช้งาน: เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการทดสอบและปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า
  • ข้อดี: มีฟีเจอร์ที่ครอบคลุมและการปรับแต่งที่หลากหลาย สามารถใช้ร่วมกับการทำ Personalization ได้ดี

8. Adobe Target

  • คุณสมบัติเด่น: เป็นส่วนหนึ่งของ Adobe Experience Cloud ซึ่งช่วยให้การทดสอบ A/B มีความลึกซึ้งและเชื่อมต่อกับเครื่องมืออื่น ๆ ในระบบ
  • การใช้งาน: เหมาะสำหรับองค์กรใหญ่ที่ต้องการทำการทดสอบขั้นสูงร่วมกับการทำ Personalization
  • ข้อดี: มีความยืดหยุ่นสูงในการทดสอบ A/B และ Multivariate Testing พร้อมกับความสามารถในการทำ Personalization ในการส่งมอบประสบการณ์ลูกค้าที่เฉพาะเจาะจง

แต่ละเครื่องมือมีจุดเด่นและฟีเจอร์เฉพาะตัว ควรเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับขนาดของธุรกิจ งบประมาณ และความต้องการในการทดสอบ

บทส่งท้าย

การทดสอบ A/B ช่วยในการตัดสินใจโดยอิงตามข้อมูล ลดการคาดเดา และปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้โดยปรับให้เหมาะสมตามประสิทธิภาพในโลกแห่งความเป็นจริง
บริการปั้มไลค์ เพิ่มผู้ติดตาม ปั้มยอดวิว มีครบจบที่ Auto-Like.co

แชร์:

ความคิดเห็น:

หัวข้อเรื่อง