ผู้ให้บริการด้าน Social Media Marketing อันดับ 1

Imposter Syndrome คืออะไร ? ปัญหาใหญ่ของคนทำธุรกิจ

Imposter Syndrome คืออะไร ? ปัญหาใหญ่ของคนทำธุรกิจ
Imposter Syndrome เป็นปัญหาที่พบได้ในทุกกลุ่มอาชีพและวัย โดยเฉพาะในผู้ที่มีความสามารถสูง หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง การรับรู้และพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกเหล่านี้สามารถช่วยลดผลกระทบของ Imposter Syndrome ได้ SocialIn.One จึงจะพามาทำความรู้กับปัญหานี้กันว่าคืออะไร ส่งผลอย่างไรและมีวิธีแก้ไขอย่างไร

Imposter Syndrome คืออะไร ?

Imposter Syndrome หรือ ภาวะความรู้สึกเป็นคนแอบอ้าง คือสภาวะทางจิตใจที่บุคคลมีความรู้สึกว่าไม่คู่ควรกับความสำเร็จหรือความสามารถของตนเอง แม้ว่าจะได้รับการยอมรับหรือมีผลงานที่ดี บุคคลที่ประสบภาวะนี้มักคิดว่าความสำเร็จที่ได้รับมาจากโชคช่วยหรือความบังเอิญ แทนที่จะเชื่อว่ามาจากความสามารถที่แท้จริงของตัวเอง

บุคคลที่มีภาวะนี้มักรู้สึกว่า “ฉันไม่เก่งเท่าที่คนอื่นคิด” และกลัวว่าคนอื่นจะรู้ความจริงว่าตนเอง “ไม่เก่งจริง” สิ่งนี้อาจทำให้เกิดความกังวลใจหรือความรู้สึกกดดันในที่ทำงานหรือในชีวิตประจำวัน

ลักษณะของ Imposter Syndrome

  • รู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า: แม้จะประสบความสำเร็จแล้วแต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่คู่ควร
  • กลัวการถูกเปิดเผย: รู้สึกว่าจะมีคนพบว่าตนเองไม่สมกับความสำเร็จที่ได้
  • ลดคุณค่าของความสำเร็จ: มักมองว่าความสำเร็จเกิดจากโชคช่วยหรือการทำงานเป็นทีม ไม่ใช่ความสามารถของตัวเอง
  • ความวิตกกังวล: มีความกังวลใจในเรื่องความสามารถหรือผลงานของตนเองอย่างต่อเนื่อง

Imposter Syndrome สามารถเกิดขึ้นกับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในระดับสูง เช่น นักวิทยาศาสตร์ ศิลปิน หรือแม้แต่นักธุรกิจ

Imposter Syndrome แบ่งเป็นกี่ประเภท ?

ประเภทของ Imposter Syndrome สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายรูปแบบ ตามลักษณะของความคิดและพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ดังนี้

1. The Perfectionist (คนสมบูรณ์แบบ): คนที่มีลักษณะนี้มักมีความต้องการให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อไม่สามารถทำได้ตามมาตรฐานสูงของตนเอง พวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองล้มเหลว แม้ว่าผลงานจะดีแต่พวกเขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจ

2. The Superhero (ยอดมนุษย์): บุคคลที่มีลักษณะนี้พยายามทำงานหนักมากเกินไปเพื่อพิสูจน์ว่าตนเองคู่ควรกับความสำเร็จ พวกเขามักจะรับงานหรือภาระมากเกินความสามารถ ส่งผลให้เกิดความเครียดและความเหนื่อยล้า

3. The Expert (ผู้เชี่ยวชาญ): คนที่มีลักษณะนี้รู้สึกว่าตนเองต้องรู้ทุกอย่างก่อนที่จะเริ่มงานหรือทำสิ่งใหม่ๆ พวกเขาเชื่อว่าต้องมีความรู้ที่สมบูรณ์แบบจึงจะสามารถทำงานได้ดี ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกว่า “ยังไม่เก่งพอ” อยู่เสมอ

4. The Natural Genius (อัจฉริยะโดยธรรมชาติ): คนที่มีลักษณะนี้เชื่อว่าตนเองต้องเก่งหรือประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องพยายามมาก หากพวกเขาต้องใช้เวลาในการเรียนรู้หรือฝึกฝน พวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองไม่เก่งหรือไม่คู่ควร

5. The Soloist (นักทำงานเดี่ยว): บุคคลที่มีลักษณะนี้มักจะคิดว่าตนเองต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง การขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นถือว่าเป็นสัญญาณของความล้มเหลว ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกว่าไม่สามารถพึ่งพาคนอื่นได้

การเข้าใจประเภทต่างๆ ของ Imposter Syndrome สามารถช่วยให้เรารับรู้ถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีต่อสุขภาพจิตของเราและหาวิธีรับมือได้อย่างเหมาะสม

ปัจจัยที่ทำให้เกิด Imposter Syndrome เกิดจากอะไรได้บ้าง ?

ปัจจัยที่ทำให้เกิด Imposter Syndrome อาจเกิดจากหลายสาเหตุ รวมถึงปัจจัยทางสังคม, สภาพแวดล้อมในการทำงาน, และบุคลิกภาพของบุคคลเอง โดยปัจจัยเหล่านี้อาจรวมถึง

1. ความคาดหวังที่สูงจากสังคมและตนเอง: การเติบโตในครอบครัวหรือสังคมที่มีความคาดหวังสูงทำให้บุคคลรู้สึกว่าตนเองต้องประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง เมื่อไม่สามารถทำได้ตามความคาดหวังนั้น บุคคลอาจเริ่มรู้สึกว่าตนเองไม่ดีพอ

2. เปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น: การมองเห็นความสำเร็จของผู้อื่นผ่านสื่อสังคมออนไลน์หรือการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานที่มีความสามารถสูง อาจทำให้บุคคลรู้สึกว่าตนเองด้อยค่าและไม่คู่ควร

3. ประสบการณ์ในการทำงานหรือเรียนที่ท้าทาย: คนที่เริ่มต้นในสายงานใหม่หรือได้รับมอบหมายงานที่ท้าทาย อาจรู้สึกไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง

4. บุคลิกภาพและลักษณะนิสัย: บุคคลที่มีลักษณะเป็นคนสมบูรณ์แบบ (perfectionist) หรือมีความต้องการทำทุกอย่างให้ดีที่สุด อาจมีแนวโน้มสูงที่จะรู้สึกว่าตนเองทำได้ไม่ดีพอ

5. ประสบการณ์ในวัยเด็ก: การได้รับคำวิจารณ์หรือการถูกเปรียบเทียบกับผู้อื่นในช่วงวัยเด็กสามารถสร้างความเชื่อผิดๆ ว่าตนเองไม่เก่งพอ ส่งผลต่อความมั่นใจในตนเองเมื่อโตขึ้น

6. ความหลากหลายทางเพศหรือชนชั้น: บุคคลที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความไม่เท่าเทียมกัน เช่น ผู้หญิงในวงการที่มีผู้ชายเป็นหลัก หรือกลุ่มคนที่มาจากชนชั้นทางสังคมที่แตกต่างกัน อาจรู้สึกว่าไม่เข้าพวกหรือไม่คู่ควรกับความสำเร็จของตนเอง

การเข้าใจถึงปัจจัยเหล่านี้สามารถช่วยให้เรารับรู้และจัดการกับความรู้สึกของ Imposter Syndrome ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Imposter Syndrome

Imposter Syndrome ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตอย่างไร ?

Imposter Syndrome สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตได้อย่างมาก โดยเฉพาะในด้านต่างๆ ดังนี้

1. ความเครียดและความวิตกกังวล: ผู้ที่ประสบกับ Imposter Syndrome มักรู้สึกว่าตนเองต้องพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อปกปิด “ความไม่เก่ง” ของตัวเอง ส่งผลให้เกิดความเครียดและความวิตกกังวลในระยะยาว

2. ภาวะซึมเศร้า: ความรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรกับความสำเร็จและความรู้สึกกดดันตัวเองตลอดเวลา อาจนำไปสู่ภาวะซึมเศร้า ซึ่งส่งผลให้บุคคลมีมุมมองที่ลบต่อความสามารถของตัวเอง

3. ความเหนื่อยล้าทางอารมณ์: การต้องทำงานหรือรับมือกับความกังวลเกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองอย่างต่อเนื่องสามารถทำให้เกิดความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ (Emotional Exhaustion) ทำให้รู้สึกหมดแรงหรือขาดแรงจูงใจในการทำงาน

4. การขาดความมั่นใจในตนเอง: การรู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่าหรือไม่เก่งเท่าที่คนอื่นคิด อาจทำให้บุคคลไม่กล้าที่จะรับโอกาสใหม่ๆ หรือลงมือทำสิ่งที่ท้าทาย ส่งผลให้การเติบโตในอาชีพหรือชีวิตส่วนตัวชะงัก

5. ผลกระทบต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่น: ความวิตกกังวลและความเครียดจาก Imposter Syndrome อาจทำให้ผู้ที่ประสบภาวะนี้กลายเป็นคนหลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมงานและคนใกล้ชิด

Imposter Syndrome ส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายอย่างไร ?

Imposter Syndrome ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตเท่านั้น แต่ยังสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายได้เช่นกัน โดยผลกระทบเหล่านี้อาจรวมถึง

1. ความเครียดเรื้อรัง: การรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองและความต้องการที่จะพิสูจน์ความสามารถอาจทำให้เกิดความเครียดเรื้อรัง ซึ่งอาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและทำให้ร่างกายอ่อนแอลง

2. ปัญหาการนอนหลับ: ความวิตกกังวลและความเครียดที่เกิดจาก Imposter Syndrome อาจทำให้มีปัญหาในการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับ หรือนอนหลับไม่สนิท ส่งผลต่อพลังงานและสมาธิในระหว่างวัน

3. อาการทางกาย: ความเครียดสามารถนำไปสู่ปัญหาทางกาย เช่น ปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือปัญหาทางเดินอาหาร (เช่น ท้องอืด ท้องผูก หรือท้องเสีย)

4. การเลือกปฏิบัติในเรื่องสุขภาพ: คนที่มี Imposter Syndrome อาจไม่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของตนเอง เช่น การออกกำลังกาย การกินอาหารที่มีประโยชน์ หรือการไปพบแพทย์ เนื่องจากมัวแต่กังวลเกี่ยวกับการทำงานและความสำเร็จ

5. พฤติกรรมเสี่ยงต่อสุขภาพ: เพื่อบรรเทาความเครียดหรือความวิตกกังวล บางคนอาจหันไปพึ่งพาสิ่งที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ หรือการใช้สารเสพติด

6. ผลกระทบต่อสุขภาพจิตและกายภาพ: สุขภาพจิตที่ไม่ดีจาก Imposter Syndrome สามารถส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพกายอย่างรุนแรง เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือโรคเบาหวาน

การเผชิญกับ Imposter Syndrome ในระยะยาวโดยไม่จัดการสามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ทั่วไปได้อย่างรุนแรง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องระมัดระวังและหาวิธีดูแลตัวเอง

วิธีป้องกัน Imposter Syndrome แก้ไขได้อย่างไร ?

การจัดการกับ Imposter Syndrome สามารถทำได้หลายวิธีเพื่อสร้างความมั่นใจและลดความรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรกับความสำเร็จที่ได้มา วิธีการจัดการมีดังนี้

1. ยอมรับและรับรู้ถึงปัญหา: ขั้นแรกคือการยอมรับว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นคือ Imposter Syndrome การรู้ตัวว่าตนเองกำลังประสบกับภาวะนี้จะช่วยให้เริ่มค้นหาวิธีรับมือได้ง่ายขึ้น

2. เปลี่ยนวิธีคิดเกี่ยวกับความสำเร็จ: แทนที่จะมองว่าความสำเร็จเป็นผลจากโชคหรือความบังเอิญ ควรฝึกมองว่าเป็นผลจากความสามารถและความพยายามของตัวเอง ลองจดบันทึกถึงผลงานหรือความสำเร็จของตัวเองอย่างสม่ำเสมอเพื่อเตือนให้เห็นว่าคุณทำสิ่งเหล่านี้ได้จริง

3. หยุดเปรียบเทียบตัวเองกับผู้อื่น: การเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นอาจทำให้รู้สึกด้อยค่า ให้เน้นไปที่การพัฒนาตนเองและยอมรับว่าทุกคนมีเส้นทางและจังหวะการเติบโตของตนเอง

4. รับคำชื่นชมจากผู้อื่น: หากมีคนชมเชยหรือยอมรับในความสามารถของคุณ อย่าปฏิเสธหรือคิดว่ามันเป็นเรื่องโชคช่วย ควรเรียนรู้ที่จะยอมรับคำชมนั้นอย่างตรงไปตรงมา และใช้มันเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาตัวเอง

5. พูดคุยกับผู้อื่น: การพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน เพื่อน หรือคนในครอบครัวเกี่ยวกับความรู้สึกของคุณ อาจช่วยให้เห็นว่าหลายคนก็เคยมีความรู้สึกคล้ายๆ กัน ซึ่งจะทำให้รู้สึกว่าคุณไม่ได้เผชิญสิ่งนี้เพียงคนเดียว

6. ตั้งเป้าหมายที่สมจริง: ควรตั้งเป้าหมายที่สามารถบรรลุได้ และไม่ควรกดดันตัวเองจนเกินไปที่จะต้องสมบูรณ์แบบในทุกเรื่อง

7. พัฒนาทักษะการรับมือกับความเครียด: การฝึกสมาธิ การทำโยคะ หรือการทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความเครียดจะช่วยให้คุณจัดการกับความวิตกกังวลและความรู้สึกไม่มั่นใจได้

บทส่งท้าย

การจัดการกับ Imposter Syndrome ต้องอาศัยเวลาและการฝึกฝน เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจและเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อความสำเร็จและความสามารถของตัวเองโดยรวมด้วย การหาวิธีดูแลตัวเองและลดความเครียดจะช่วยให้สุขภาพทั้งสองด้านดีขึ้นได้
บริการปั้มไลค์ เพิ่มผู้ติดตาม ปั้มยอดวิว มีครบจบที่ Auto-Like.co

แชร์:

ความคิดเห็น:

หัวข้อเรื่อง