ผู้ให้บริการด้าน Social Media Marketing อันดับ 1

วิธีตรวจเช็คสุขภาพเว็บ Site Audit ทำได้อย่างไรบ้าง ?

วิธีตรวจเช็คสุขภาพเว็บ Site Audit ทำได้อย่างไรบ้าง ?
วิธีตรวจเช็คสุขภาพเว็บ การตรวจเช็คสุขภาพเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจว่าเว็บไซต์ของคุณทำงานได้ดีและมีประสิทธิภาพในการดึงดูดผู้เยี่ยมชม และนี่คือขั้นตอนการตรวจเช็คสุขภาพเว็บไซต์ที่คุณสามารถทำได้ ซึ่ง SocialIn.One ได้รวมเนื้อหาวิธีตรวจเช็คสุขภาพเว็บทั้งหมดมาไว้ให้แล้ว ไปติดตามกันแล้ว

วิธีตรวจเช็คสุขภาพเว็บ มีวิธีตรวจสอบอย่างไร ?

1. ตรวจสอบความเร็วเว็บไซต์

วิธีตรวจเช็คสุขภาพเว็บ การตรวจสอบความเร็วเว็บไซต์และปรับปรุงประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ดีและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงและใช้งานเว็บไซต์ นี่คือขั้นตอนในการตรวจสอบความเร็วและปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณ

1. ใช้เครื่องมือออนไลน์ในการตรวจสอบความเร็ว

เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณวิเคราะห์ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บและให้คำแนะนำในการปรับปรุง

  • Google PageSpeed Insights: เครื่องมือนี้จะให้คะแนนความเร็วของเว็บไซต์ทั้งบนมือถือและเดสก์ท็อป พร้อมคำแนะนำในการปรับปรุง
  • GTmetrix: ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการโหลดหน้าเว็บ พร้อมคำแนะนำที่สามารถนำไปปรับปรุงได้
  • Pingdom: เครื่องมือนี้ช่วยวิเคราะห์ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บและให้คะแนนความเร็ว พร้อมทั้งคำแนะนำในการปรับปรุง

2. ขั้นตอนการปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์

ตรวจสอบและปรับปรุงภาพ (Optimize Images)

  • บีบอัดภาพ: ใช้เครื่องมืออย่าง TinyPNG หรือ JPEG Optimizer เพื่อบีบอัดภาพโดยไม่ลดคุณภาพ
  • ใช้ฟอร์แมตที่เหมาะสม: ใช้ฟอร์แมตภาพที่เหมาะสม เช่น WebP สำหรับภาพที่ใช้บนเว็บไซต์

ลดขนาดไฟล์ (Minimize File Sizes)

  • ลดขนาด CSS, JavaScript, และ HTML: ใช้เครื่องมืออย่าง Minify (สำหรับ CSS และ JavaScript) และ HTML Minifier เพื่อลดขนาดไฟล์
  • รวมไฟล์ (Combine Files): รวมไฟล์ CSS และ JavaScript หลายๆ ไฟล์เข้าด้วยกันเพื่อลดจำนวนคำขอ (HTTP Requests)

ใช้การแคช (Enable Caching)

  • แคชเบราว์เซอร์ (Browser Caching): ตั้งค่าแคชเบราว์เซอร์ในไฟล์ .htaccess เพื่อเก็บข้อมูลหน้าเว็บไว้ในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้
  • แคชเซิร์ฟเวอร์ (Server-Side Caching): ใช้ปลั๊กอินหรือโซลูชันแคชเซิร์ฟเวอร์ เช่น W3 Total Cache หรือ WP Super Cache สำหรับ WordPress

พิจารณาใช้ CDN (Content Delivery Network)

  • CDN: ใช้ CDN เช่น Cloudflare หรือ Amazon CloudFront เพื่อกระจายการโหลดของเว็บไซต์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ใกล้เคียงกับผู้ใช้ที่สุด ทำให้ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บเร็วขึ้น

2. ตรวจสอบการตอบสนอง (Responsiveness)

การตรวจสอบการตอบสนอง (Responsiveness) ของเว็บไซต์มีความสำคัญอย่างมากเพื่อให้มั่นใจว่าเว็บไซต์สามารถแสดงผลได้ดีในทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือมือถือ นี่คือขั้นตอนที่สามารถทำได้:

1. ทดสอบในหลายอุปกรณ์

  • ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณสามารถแสดงผลได้ดีบนคอมพิวเตอร์ เดสก์ท็อป แท็บเล็ต และมือถือ
  • ลองเข้าชมเว็บไซต์ด้วยอุปกรณ์ที่หลากหลาย เช่น คอมพิวเตอร์ที่มีขนาดหน้าจอแตกต่างกัน โทรศัพท์มือถือที่มีขนาดหน้าจอและระบบปฏิบัติการต่างกัน และแท็บเล็ต

2. ใช้เครื่องมือทดสอบ

  • ใช้เครื่องมืออย่าง Google Mobile-Friendly Test เพื่อดูว่าเว็บไซต์ของคุณเหมาะสมกับการแสดงผลบนอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือไม่ เครื่องมือนี้จะให้ผลลัพธ์ที่บอกว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับอุปกรณ์เคลื่อนที่หรือไม่ พร้อมกับข้อเสนอแนะในการปรับปรุง
  • นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออื่น ๆ เช่น BrowserStack หรือ Responsinator ที่ช่วยให้คุณทดสอบเว็บไซต์บนอุปกรณ์และเบราว์เซอร์ต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์จริง

3. ตรวจสอบด้วยเครื่องมือ DevTools

  • ใช้ DevTools ของเบราว์เซอร์ (เช่น Google Chrome DevTools) เพื่อทดสอบการตอบสนองของเว็บไซต์
  • เปิด DevTools (กด F12 หรือคลิกขวาแล้วเลือก Inspect) และไปที่แถบ Device Toolbar (กด Ctrl+Shift+M) เพื่อจำลองการแสดงผลในอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์

4. ตรวจสอบด้วยการทำงานของเว็บไซต์

  • ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณโหลดได้เร็วและไม่มีปัญหาการทำงานเมื่อแสดงผลในอุปกรณ์ต่าง ๆ
  • ตรวจสอบว่าทุกฟังก์ชั่นและปุ่มต่าง ๆ บนเว็บไซต์ทำงานได้ดีในทุกขนาดหน้าจอ

การตรวจสอบและปรับปรุงการตอบสนองของเว็บไซต์ให้ดีขึ้นเป็นสิ่งที่สำคัญเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดจากการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ

3. ตรวจสอบ SEO

การตรวจสอบ SEO เป็นขั้นตอนสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหา เช่น Google นี่คือขั้นตอนที่คุณสามารถทำได้

1. ตรวจสอบการจัดทำดัชนี

Google Search Console เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการตรวจสอบการจัดทำดัชนีของเว็บไซต์ของคุณ

  • เพิ่มและยืนยันเว็บไซต์: หากคุณยังไม่ได้เพิ่มเว็บไซต์ของคุณใน Google Search Console ให้ทำตามขั้นตอนการเพิ่มและยืนยันเว็บไซต์
  • ตรวจสอบรายงานการครอบคลุมดัชนี (Coverage Report): รายงานนี้จะแสดงสถานะของหน้าต่างๆ บนเว็บไซต์ของคุณ (เช่น หน้าที่ได้รับการจัดทำดัชนี หน้าที่มีปัญหา ฯลฯ)
  • ตรวจสอบรายงานการส่งแผนผังเว็บไซต์ (Sitemaps Report): ตรวจสอบว่า Google สามารถเข้าถึงและจัดทำดัชนีแผนผังเว็บไซต์ของคุณได้อย่างถูกต้อง

2. ตรวจสอบคำหลัก

การตรวจสอบคำหลักและประสิทธิภาพของเนื้อหาสามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือ SEO ชั้นนำ เช่น Ahrefs, SEMrush หรือ Moz

Ahrefs

  • ใช้เครื่องมือ Site Explorer เพื่อดูคำหลักที่เว็บไซต์ของคุณกำลังจัดอันดับอยู่
  • ตรวจสอบ Organic Keywords และวิเคราะห์ประสิทธิภาพของคำหลักเหล่านั้น
  • ใช้ Content Gap Analysis เพื่อค้นหาคำหลักที่คู่แข่งกำลังจัดอันดับอยู่ แต่เว็บไซต์ของคุณยังไม่จัดอันดับ

SEMrush

  • ใช้ Domain Overview เพื่อดูประสิทธิภาพของเว็บไซต์
  • ตรวจสอบ Organic Research เพื่อวิเคราะห์คำหลักที่เว็บไซต์ของคุณกำลังจัดอันดับ
  • ใช้ Keyword Magic Tool เพื่อค้นหาและวิเคราะห์คำหลักใหม่ๆ ที่คุณสามารถใช้งานได้

Moz

  • ใช้ Keyword Explorer เพื่อค้นหาและวิเคราะห์คำหลัก
  • ตรวจสอบ Rankings เพื่อดูอันดับของเว็บไซต์ของคุณสำหรับคำหลักต่างๆ
  • ใช้ On-Page Grader เพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงประสิทธิภาพของเนื้อหาบนหน้าเว็บไซต์ของคุณ

การใช้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณสามารถติดตามและปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

site audit

4. ตรวจสอบความปลอดภัย

การตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพื่อปกป้องข้อมูลและรักษาความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ของคุณ นี่คือขั้นตอนที่ควรดำเนินการ

1. ใช้ SSL (HTTPS)

  • ตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณใช้ SSL (Secure Sockets Layer) หรือ TLS (Transport Layer Security) ซึ่งสามารถระบุได้ว่า URL ของเว็บไซต์ขึ้นต้นด้วย https:// แทน http://
  • คุณสามารถขอใบรับรอง SSL จากผู้ให้บริการต่าง ๆ เช่น Let’s Encrypt, Comodo, หรือ Symantec

2. ตรวจสอบช่องโหว่

  • ใช้เครื่องมืออย่าง Qualys SSL Labs เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของการตั้งค่า SSL/TLS ของเว็บไซต์ของคุณ
  • ใช้เครื่องมือ Sucuri SiteCheck เพื่อสแกนเว็บไซต์ของคุณและตรวจหาช่องโหว่หรือมัลแวร์

เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยคุณตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณมีการตั้งค่า SSL ที่ถูกต้องและไม่มีช่องโหว่ที่อาจถูกโจมตีได้

5. ตรวจสอบลิงก์ที่ใช้งานไม่ได้ (Broken Links)

การตรวจสอบลิงก์ที่ใช้งานไม่ได้ (Broken Links) เป็นกระบวนการที่สำคัญเพื่อรักษาความสมบูรณ์ของเว็บไซต์และประสบการณ์ของผู้ใช้ ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนและเครื่องมือที่สามารถใช้ได้

1. ใช้เครื่องมือออนไลน์

  • Broken Link Checker: เครื่องมือนี้สามารถตรวจสอบลิงก์ในเว็บไซต์ของคุณและรายงานลิงก์ที่เสียหายหรือไม่สามารถเข้าถึงได้
  • W3C Link Checker: เครื่องมือนี้จาก W3C สามารถใช้ตรวจสอบลิงก์ที่ใช้งานไม่ได้บนเว็บไซต์ของคุณ

2. ใช้เครื่องมือ SEO

  • Screaming Frog SEO Spider: เครื่องมือนี้สามารถสแกนเว็บไซต์ของคุณเพื่อหาลิงก์ที่เสียหายและรายงานผลได้
  • Ahrefs: มีฟีเจอร์ที่สามารถค้นหาลิงก์ที่ไม่สามารถเข้าถึงได้และช่วยในการวิเคราะห์ปัญหา

3. ทำการตรวจสอบด้วยตนเอง

  • ตรวจสอบลิงก์จากหน้าเว็บของคุณและลองคลิกเพื่อลองเข้าใช้งาน
  • ตรวจสอบลิงก์จากรายงานที่ได้จากเครื่องมือที่กล่าวถึงข้างต้นและทำการแก้ไขลิงก์ที่เสียหาย

4. การแก้ไข

  • แก้ไขหรืออัปเดตลิงก์ที่เสียหายให้เป็นลิงก์ที่ถูกต้อง
  • ลบลิงก์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้หรือเปลี่ยนเส้นทาง (redirect) ลิงก์ที่เสียไปยังหน้าที่เกี่ยวข้อง

การตรวจสอบลิงก์ที่ใช้งานไม่ได้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์และประสบการณ์ของผู้ใช้

6. ตรวจสอบประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience)

การตรวจสอบประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) เป็นขั้นตอนสำคัญในการพัฒนาและปรับปรุงเว็บไซต์ให้ตอบสนองความต้องการและความพึงพอใจของผู้ใช้งาน นี่คือขั้นตอนที่คุณสามารถทำได้

1. วิเคราะห์การใช้งาน

  • Google Analytics: ใช้เครื่องมือนี้เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้บนเว็บไซต์ เช่น จำนวนผู้เข้าชม, ระยะเวลาเฉลี่ยที่ใช้บนเว็บไซต์, อัตราการตีกลับ (Bounce Rate), และเส้นทางการเดินทางของผู้ใช้ (User Flow) ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าส่วนใดของเว็บไซต์ทำงานได้ดีและส่วนใดที่ต้องปรับปรุง
  • Heatmaps: ใช้เครื่องมือเช่น Hotjar หรือ Crazy Egg เพื่อดูว่าผู้ใช้คลิกที่ไหน, เลื่อนลงไปยังจุดใด, และใช้เวลาอยู่ที่ส่วนใดของเว็บไซต์ ข้อมูลนี้สามารถช่วยให้คุณเข้าใจความสนใจและพฤติกรรมของผู้ใช้ได้ดีขึ้น

2. ขอความคิดเห็น

  • แบบสอบถาม: ใช้แบบสอบถามที่แสดงในเว็บไซต์หรือส่งทางอีเมลเพื่อรวบรวมความคิดเห็นจากผู้เยี่ยมชมเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้งาน เช่น ความสะดวกในการค้นหาข้อมูล, ความเข้าใจในเนื้อหา, และความพอใจโดยรวม
  • สัมภาษณ์ผู้ใช้: จัดสัมภาษณ์กับกลุ่มตัวอย่างของผู้ใช้เพื่อรวบรวมความคิดเห็นที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นและรับฟังข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปรับปรุงเว็บไซต์
  • การทดสอบการใช้งาน: เชิญผู้ใช้มาทดลองใช้เว็บไซต์และสังเกตวิธีที่พวกเขาโต้ตอบกับเว็บไซต์ โดยให้พวกเขาทำภารกิจบางอย่างและให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความง่ายในการใช้งานและปัญหาที่พบ

การรวมข้อมูลจากทั้งการวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้และความคิดเห็นจากผู้ใช้จะช่วยให้คุณสามารถทำการปรับปรุงที่มีประสิทธิภาพและสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ

seo

7. ตรวจสอบเนื้อหา

การตรวจสอบและปรับปรุงเนื้อหาเว็บไซต์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพสูงสุด และสามารถดึงดูดและรักษาผู้เยี่ยมชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ตรวจสอบความถูกต้อง

  • ข้อมูลที่เป็นปัจจุบัน: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาทั้งหมดเป็นข้อมูลล่าสุดและไม่มีข้อมูลล้าสมัย
  • ความถูกต้องของข้อเท็จจริง: ตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ถูกต้อง รวมถึงข้อมูลสถิติ, การอ้างอิง, และรายละเอียดที่สำคัญ
  • การสะกดและไวยากรณ์: ตรวจสอบการสะกดคำและไวยากรณ์ให้ถูกต้องเพื่อป้องกันข้อผิดพลาดที่อาจทำให้เว็บไซต์ดูไม่น่าเชื่อถือ

2. ปรับปรุงเนื้อหา

  • อัปเดตเนื้อหาใหม่ๆ: เพิ่มข้อมูลหรือบทความใหม่เพื่อดึงดูดผู้เยี่ยมชม และให้เว็บไซต์มีความสดใหม่อยู่เสมอ
  • พัฒนาคุณภาพของเนื้อหา: ใช้การออกแบบที่ดึงดูดและการจัดรูปแบบที่ชัดเจนเพื่อทำให้เนื้อหาน่าสนใจและเข้าใจง่าย
  • การเพิ่มคำสำคัญ (SEO): ตรวจสอบและเพิ่มคำสำคัญที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงการจัดอันดับในเครื่องมือค้นหา

การดูแลและปรับปรุงเนื้อหาบนเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณยังคงมีความน่าสนใจและสามารถแข่งขันได้ในตลาดออนไลน์

8. ตรวจสอบฟังก์ชันการทำงาน (Functionality)

การตรวจสอบฟังก์ชันการทำงาน (Functionality) เป็นขั้นตอนสำคัญในการทดสอบเว็บไซต์เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างทำงานได้ตามที่คาดหวัง ต่อไปนี้คือวิธีการตรวจสอบฟังก์ชันการทำงานที่คุณได้กล่าวถึง

1. ทดสอบฟอร์มและลิงก์

  • ฟอร์ม: ตรวจสอบฟอร์มต่างๆ บนเว็บไซต์ เช่น ฟอร์มสมัครสมาชิก, ฟอร์มติดต่อ, ฟอร์มการสั่งซื้อ ฯลฯ โดยกรอกข้อมูลทุกประเภทที่ฟอร์มรองรับและส่งข้อมูลดูว่าข้อมูลถูกบันทึกหรือส่งไปยังปลายทางที่ถูกต้องหรือไม่
  • ลิงก์: คลิกที่ลิงก์ทั้งหมดบนเว็บไซต์เพื่อตรวจสอบว่าลิงก์นำไปยังหน้าที่ถูกต้องหรือไม่ ตรวจสอบลิงก์ภายในเว็บไซต์และลิงก์ที่เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ว่าทำงานได้ถูกต้อง

2. ทดสอบการทำงานร่วมกัน

  • เบราว์เซอร์: ทดสอบเว็บไซต์บนเบราว์เซอร์ต่างๆ เช่น Google Chrome, Mozilla Firefox, Safari, Microsoft Edge ฯลฯ เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์ทำงานได้ดีและแสดงผลถูกต้องในแต่ละเบราว์เซอร์
  • อุปกรณ์: ทดสอบเว็บไซต์บนอุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป, แท็บเล็ต, และสมาร์ตโฟน เพื่อตรวจสอบการตอบสนองและการแสดงผลที่เหมาะสมในแต่ละขนาดหน้าจอ

การทำตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณมีฟังก์ชันการทำงานที่ครบถ้วนและสามารถใช้งานได้อย่างราบรื่นในทุกสภาพแวดล้อม

บทส่งท้าย

วิธีตรวจเช็คสุขภาพเว็บไซต์เป็นกระบวนการที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด
บริการปั้มไลค์ เพิ่มผู้ติดตาม ปั้มยอดวิว มีครบจบที่ Auto-Like.co

แชร์:

ความคิดเห็น:

หัวข้อเรื่อง