Youtube คืออะไร ?
Youtube มีที่มาอย่างไร ?
YouTube ก่อตั้งขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2005 โดยอดีตพนักงานของ PayPal สามคน คือ Steve Chen, Chad Hurley, และ Jawed Karim แรงบันดาลใจของการสร้าง YouTube มาจากปัญหาที่พวกเขาพบในการหาวิธีที่ง่ายและรวดเร็วในการแบ่งปันวิดีโอคลิปกับเพื่อนๆ
เหตุการณ์สำคัญในการพัฒนา YouTube
- 2005: YouTube เปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ 2005 และเผยแพร่วิดีโอแรกในเดือนเมษายนปีเดียวกัน วิดีโอแรกที่ถูกอัปโหลดคือ “Me at the zoo” โดย Jawed Karim ซึ่งเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง
- 2006: YouTube ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วและในเดือนพฤศจิกายน 2006 Google ได้ซื้อ YouTube ในมูลค่าประมาณ 1.65 พันล้านดอลลาร์ในรูปของหุ้น Google
- 2007 เป็นต้นไป: YouTube ขยายฟีเจอร์และบริการใหม่ ๆ เช่นการเปิดตัวโปรแกรมพาร์ทเนอร์ YouTube (YouTube Partner Program) ที่อนุญาตให้ผู้สร้างเนื้อหาสามารถสร้างรายได้จากวิดีโอของพวกเขา
- 2010: การเปิดตัว YouTube Mobile ทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงวิดีโอผ่านโทรศัพท์มือถือได้ง่ายขึ้น
- 2015: YouTube เปิดตัว YouTube Red (ปัจจุบันคือ YouTube Premium) ซึ่งเป็นบริการแบบสมัครสมาชิกที่ไม่มีโฆษณาและมีคอนเทนต์พิเศษสำหรับสมาชิก
การเติบโตและการเปลี่ยนแปลง
YouTube ได้พัฒนาและเติบโตอย่างต่อเนื่องและกลายเป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลก มีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น การสตรีมสด (Live Streaming), YouTube Gaming, YouTube Music และ YouTube TV
บทบาทในวัฒนธรรมและธุรกิจ
YouTube ได้เปลี่ยนแปลงวิธีการบริโภคสื่อของผู้คนและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมดิจิทัลทั่วโลก นอกจากนี้ยังเป็นแพลตฟอร์มที่สำคัญสำหรับนักการตลาด, นักดนตรี, นักการศึกษา และผู้สร้างเนื้อหาในทุกๆ รูปแบบ
ฟีเจอร์หลักของ YouTube ประกอบด้วยอะไรบ้าง ?
YouTube มีฟีเจอร์หลักหลายอย่างที่ทำให้ผู้ใช้สามารถรับชม, แชร์ และสร้างเนื้อหาได้อย่างสะดวกสบาย โดยฟีเจอร์หลักของ YouTube ประกอบด้วย
1. การค้นหาและสำรวจ (Search and Explore): ผู้ใช้สามารถค้นหาวิดีโอได้ง่ายๆ ด้วยคำค้นหาที่ต้องการ และสามารถสำรวจเนื้อหาที่แนะนำ, เนื้อหายอดนิยม, และหมวดหมู่ต่างๆ ได้
2. การสมัครรับข้อมูล (Subscribe): ผู้ใช้สามารถติดตามช่องที่ชื่นชอบเพื่อไม่พลาดการอัปโหลดวิดีโอใหม่ๆ
3. การกดไลค์, ไม่ชอบ, และแสดงความคิดเห็น (Like, Dislike, Comment): ผู้ใช้สามารถกดไลค์, ไม่ชอบ และแสดงความคิดเห็นใต้คลิปวิดีโอ เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือโต้ตอบกับผู้สร้างเนื้อหาและผู้ชมอื่นๆ
4. เพลย์ลิสต์ (Playlists): ผู้ใช้สามารถสร้างและจัดการเพลย์ลิสต์ของตัวเองได้ เพื่อรวบรวมวิดีโอที่ชื่นชอบหรือวิดีโอในหัวข้อเดียวกัน
5. การแนะนำและการแจ้งเตือน (Recommendations and Notifications): ระบบจะแนะนำวิดีโอที่น่าสนใจตามประวัติการรับชมของผู้ใช้ และส่งการแจ้งเตือนเมื่อมีวิดีโอใหม่จากช่องที่ผู้ใช้ติดตาม
6. การถ่ายทอดสด (Live Streaming): ผู้ใช้สามารถดูหรือทำการถ่ายทอดสดวิดีโอเพื่อโต้ตอบกับผู้ชมแบบเรียลไทม์
7. YouTube Shorts: ฟีเจอร์สำหรับการสร้างและรับชมวิดีโอสั้นๆ ที่มีความยาวไม่เกิน 60 วินาที คล้ายกับฟีเจอร์ของ TikTok
8. การสร้างรายได้ (Monetization): ผู้สร้างเนื้อหาสามารถทำเงินจากวิดีโอของพวกเขาผ่านโฆษณา, การสนับสนุนของสมาชิก (Memberships), Super Chat, และการขายสินค้า
9. YouTube Premium: บริการสมัครสมาชิกที่ไม่มีโฆษณา สามารถดาวน์โหลดวิดีโอเพื่อรับชมแบบออฟไลน์ และเข้าถึง YouTube Music
10. YouTube Studio: เครื่องมือสำหรับผู้สร้างเนื้อหาในการจัดการช่องของพวกเขา ดูสถิติของวิดีโอ ตอบกลับความคิดเห็น และจัดการการสร้างรายได้
11. การดูแบบออฟไลน์ (Offline Viewing): ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดวิดีโอเพื่อรับชมแบบออฟไลน์บนแอปพลิเคชันมือถือ
12. การแชร์ (Sharing): ผู้ใช้สามารถแชร์วิดีโอไปยังแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ หรือส่งลิงก์วิดีโอให้เพื่อนๆ
ฟีเจอร์เหล่านี้ทำให้ YouTube เป็นแพลตฟอร์มที่มีความหลากหลายและใช้งานง่ายสำหรับผู้ใช้ทุกคน
เพราะอะไร Youtube จึงได้กลายเป็นโซเชียลมิเดียยอดนิยมของโลก ?
YouTube กลายเป็นโซเชียลมีเดียยอดนิยมของโลกด้วยหลายเหตุผลสำคัญ ดังนี้
1. การเข้าถึงเนื้อหาหลากหลาย: YouTube มีเนื้อหาหลากหลายที่ตอบสนองความสนใจและความต้องการของผู้ชมทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเพลง, วิดีโอสอน, รีวิวสินค้า, ข่าวสาร, และบันเทิง
2. การสร้างเนื้อหาเองได้ง่าย: ผู้ใช้สามารถสร้างและอัปโหลดวิดีโอของตนเองได้ง่าย ทำให้เกิดชุมชนของผู้สร้างเนื้อหาหลากหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลทั่วไปหรือมืออาชีพ
3. การค้นหาและการแนะนำเนื้อหา: YouTube มีระบบการค้นหาและการแนะนำเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ใช้สามารถพบเนื้อหาใหม่ที่ตรงกับความสนใจของตนได้ง่าย
4. การสร้างรายได้: YouTube มีระบบการแบ่งปันรายได้กับผู้สร้างเนื้อหา ทำให้ผู้สร้างสามารถทำเงินจากการสร้างวิดีโอได้ ซึ่งดึงดูดให้มีผู้สร้างเนื้อหาใหม่ๆ เข้ามาเรื่อยๆ
5. การเข้าถึงทั่วโลก: YouTube สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ในโลกและรองรับหลายภาษาทำให้ผู้ชมจากทุกมุมโลกสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้
6. การใช้งานง่ายและสะดวก: อินเทอร์เฟซของ YouTube ใช้งานง่ายทั้งในเวอร์ชันเว็บไซต์และแอปพลิเคชันมือถือ ทำให้ผู้ใช้สามารถดูวิดีโอและสร้างเนื้อหาได้สะดวก
7. การเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มอื่น: YouTube สามารถเชื่อมโยงกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ ได้ง่าย ทำให้ผู้ใช้สามารถแชร์วิดีโอผ่าน Facebook, Twitter, Instagram, และแพลตฟอร์มอื่นๆ
8. การสนับสนุนจาก Google: หลังจากที่ Google เข้าซื้อ YouTube การผสานรวมกับบริการของ Google ทำให้ YouTube ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
9. การใช้งานฟรี: การเข้าถึงเนื้อหาบน YouTube เป็นฟรี ทำให้ผู้ใช้สามารถดูวิดีโอได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ทุกปัจจัยเหล่านี้รวมกันทำให้ YouTube กลายเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมระดับโลกที่มีผู้ใช้จำนวนมากและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
การสร้างรายได้บน Youtube สร้างผ่านช่องทางใดบ้าง ?
การสร้างรายได้บน YouTube สามารถทำได้หลายวิธี โดยรวมถึงวิธีต่อไปนี้
1. YouTube Partner Program (YPP)
การเข้าร่วมโปรแกรมพันธมิตรของ YouTube เป็นวิธีพื้นฐานในการสร้างรายได้ คุณจะต้องมีผู้ติดตามอย่างน้อย 1,000 คน และมีเวลาชมวิดีโอรวมอย่างน้อย 4,000 ชั่วโมงในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา เมื่อคุณเข้าร่วมโปรแกรมนี้ คุณสามารถสร้างรายได้จาก
- โฆษณา: YouTube จะแสดงโฆษณาบนวิดีโอของคุณ และคุณจะได้รับส่วนแบ่งของรายได้จากการแสดงโฆษณานั้น
- Super Chat & Super Stickers: ผู้ชมสามารถจ่ายเงินเพื่อให้ข้อความหรือสติกเกอร์ของพวกเขาเด่นขึ้นในระหว่างการสตรีมสด
- YouTube Premium: คุณจะได้รับส่วนแบ่งของค่าบริการ YouTube Premium ที่ผู้ชมชำระเมื่อพวกเขาชมวิดีโอของคุณ
2. การสร้างสปอนเซอร์และการทำข้อตกลงกับแบรนด์
หากคุณมีฐานผู้ติดตามที่กว้างและมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน แบรนด์ต่างๆ อาจสนใจทำข้อตกลงกับคุณเพื่อให้คุณโปรโมทสินค้าหรือบริการของพวกเขาในวิดีโอของคุณ
3. การขายสินค้า (Merchandise)
YouTube มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณสามารถขายสินค้าที่เกี่ยวข้องกับช่องของคุณได้ เช่น เสื้อยืด, หมวก, และสินค้าอื่นๆ
4. การใช้ Patreon หรือแพลตฟอร์มการสนับสนุนอื่นๆ
คุณสามารถใช้แพลตฟอร์มอย่าง Patreon เพื่อให้ผู้ติดตามสนับสนุนคุณเป็นรายเดือนในรูปแบบของการสมัครสมาชิก เพื่อให้คุณสามารถมอบสิทธิพิเศษต่างๆ เช่น คอนเทนต์พิเศษหรือการเข้าถึงกิจกรรมส่วนตัว
5. การสอนหรือการให้คำปรึกษา
หากคุณมีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง คุณสามารถสร้างรายได้จากการสอนออนไลน์หรือการให้คำปรึกษา เช่น การสอนเกี่ยวกับการถ่ายทำวิดีโอ การตัดต่อวิดีโอ หรือการตลาดดิจิทัล
6. การใช้ Affiliate Marketing
คุณสามารถโปรโมทสินค้าหรือบริการของบริษัทอื่น และได้รับค่าคอมมิชชั่นเมื่อมีผู้ใช้ที่คลิกลิงก์ของคุณและทำการซื้อสินค้า
การสร้างรายได้จาก YouTube ต้องการความมุ่งมั่น ความคิดสร้างสรรค์ และความพยายามในการสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์แก่ผู้ชม โดยการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและการสร้างชุมชนผู้ติดตามที่เข้มแข็งจะช่วยให้คุณสามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากช่องของคุณ
Youtube มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร ?
YouTube เป็นแพลตฟอร์มที่มีทั้งข้อดีและข้อเสียในการใช้สำหรับการเรียนรู้, การตลาด, และการสร้างเนื้อหา
ข้อดีของ YouTube
1. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายกว้าง: YouTube มีผู้ใช้งานจากทั่วโลก คุณสามารถเข้าถึงผู้คนได้จากหลากหลายกลุ่มเป้าหมายและตลาด
2. ฟรีและเข้าถึงง่าย: การสร้างช่องและอัปโหลดวิดีโอเป็นเรื่องฟรีและไม่ต้องใช้ทรัพยากรที่สูง
3. เครื่องมือการตลาดที่มีประสิทธิภาพ: YouTube มีเครื่องมือโฆษณาที่หลากหลาย เช่น Google Ads, การทำ SEO สำหรับวิดีโอ, และการสร้างแคมเปญโฆษณาต่างๆ
4. สร้างการมีส่วนร่วม: ผู้ชมสามารถแสดงความคิดเห็น, แชร์, และกด “ไลค์” หรือ “ดิสไลค์” วิดีโอ ทำให้คุณได้รับข้อเสนอแนะแบบทันที
5. แหล่งข้อมูลการศึกษา: YouTube มีวิดีโอการศึกษาและการเรียนรู้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่การสอนทักษะใหม่ๆ ไปจนถึงเนื้อหาวิชาการลึกซึ้ง
6. โอกาสในการสร้างรายได้: YouTube มีโปรแกรมการสร้างรายได้ผ่านการโฆษณา, การสนับสนุนจากผู้ชม (Super Chat, Memberships), และการโปรโมทสินค้าหรือบริการ
7. สร้างแบรนด์และภาพลักษณ์: ช่อง YouTube สามารถช่วยในการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลหรือธุรกิจ และเสริมสร้างภาพลักษณ์ของคุณในสายตาของผู้ชม
ข้อเสียของ YouTube
1. การแข่งขันสูง: มีช่องและเนื้อหาจำนวนมาก ทำให้ยากที่จะโดดเด่นและดึงดูดผู้ชม
2. ความต้องการการลงทุนเวลาและทรัพยากร: การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงต้องใช้เวลาในการวางแผน, ถ่ายทำ, ตัดต่อ และโปรโมท
3. ความเสี่ยงทางการเงิน: การสร้างรายได้จาก YouTube อาจต้องมีการลงทุนในอุปกรณ์หรือการโฆษณา และรายได้จากโฆษณาอาจไม่สม่ำเสมอ
4. การตรวจสอบเนื้อหา: YouTube มีระบบการตรวจสอบและอาจลบวิดีโอหรือแบนบัญชีของคุณถ้าฝ่าฝืนกฎของแพลตฟอร์ม
5. การเปลี่ยนแปลงอัลกอริธึม: การเปลี่ยนแปลงในอัลกอริธึมของ YouTube อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นเนื้อหาของคุณ
6. ปัญหาด้านการลิขสิทธิ์: การใช้เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาตอาจทำให้วิดีโอถูกลบหรือบัญชีถูกแบน
7. ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว: การเผยแพร่เนื้อหาออนไลน์อาจเสี่ยงต่อความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ
