Google Spam Update คืออะไร ?
วัตถุประสงค์ของ Google Spam Update มีไว้เพื่ออะไร ?
Google Spam Update มีวัตถุประสงค์หลักในการให้ผลการค้นหาที่มีคุณภาพสูงและมีความเกี่ยวข้องกับผู้ใช้มากที่สุด เพื่อให้ประสบการณ์การค้นหาของผู้ใช้ดีขึ้นและเพื่อปกป้องผู้ใช้จากเนื้อหาที่อาจเป็นอันตรายหรือไม่มีคุณภาพ
การอัปเดตเหล่านี้มักจะส่งผลต่อเว็บไซต์ที่ใช้เทคนิคสแปม หรือไม่ปฏิบัติตามหลักการของ Google เช่น เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาซ้ำซ้อน, เนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพ, หรือการสร้างลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ เว็บไซต์เหล่านี้มักจะถูกลดอันดับหรือถูกลบออกจากผลการค้นหา
เพราะเหตุใด เว็บไซต์จึงถูก Google มองว่าเป็นสแปม
เว็บไซต์อาจถูก Google Spam Update มองว่าเป็นสแปมด้วยเหตุผลหลายประการ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มหลัก ๆ ได้ดังนี้
1. เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือซ้ำซ้อน (Duplicate Content)
เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมหรือซ้ำซ้อน (Duplicate Content) เป็นปัญหาที่สำคัญในเรื่องการจัดอันดับของ Google หากเว็บไซต์มีเนื้อหาที่ซ้ำซ้อนหรือคัดลอกมาจากแหล่งอื่น ๆ โดยไม่มีการปรับปรุงหรือเพิ่มคุณค่าใหม่ อาจทำให้ Google มองว่าเว็บไซต์นั้นเป็นสแปม ซึ่งจะส่งผลต่อการจัดอันดับและการมองเห็นในผลการค้นหา
เหตุผลที่ Google ไม่ชอบเนื้อหาซ้ำซ้อน
1. ประสบการณ์ของผู้ใช้ที่แย่ลง: การมีเนื้อหาซ้ำซ้อนทำให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่เหมือนกันจากหลายแหล่ง ซึ่งไม่เป็นประโยชน์และทำให้การค้นหาข้อมูลมีความยุ่งยากขึ้น
2. การลดคุณค่าของเนื้อหา: หากมีเนื้อหาที่เหมือนกันหลาย ๆ หน้า Google จะไม่สามารถระบุได้ว่าเนื้อหาใดมีความสำคัญมากที่สุด ซึ่งทำให้การจัดอันดับมีความยุ่งยาก
3. การเสียโอกาสในการให้ข้อมูลใหม่: การคัดลอกเนื้อหาจากแหล่งอื่น ๆ โดยไม่มีการเพิ่มคุณค่าใหม่ทำให้เว็บไซต์สูญเสียโอกาสในการให้ข้อมูลที่มีประโยชน์และมีความเฉพาะเจาะจงสำหรับผู้ใช้
วิธีการหลีกเลี่ยงเนื้อหาซ้ำซ้อน
1. สร้างเนื้อหาที่เป็นเอกลักษณ์ (Unique Content): เขียนเนื้อหาที่เป็นเอกลักษณ์และมีคุณค่าใหม่ ๆ ที่ไม่มีในเว็บไซต์อื่น
2. ใช้การอ้างอิง (Citation) อย่างถูกต้อง: หากจำเป็นต้องใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่น ควรอ้างอิงและให้เครดิตแก่แหล่งที่มาอย่างถูกต้อง
3. อัปเดตและปรับปรุงเนื้อหา: ตรวจสอบและอัปเดตเนื้อหาให้มีความสดใหม่และเกี่ยวข้องกับข้อมูลปัจจุบัน
4. ใช้ Canonical Tags: หากมีเนื้อหาที่คล้ายกันในหลายหน้า ให้ใช้ canonical tags เพื่อบอก Google ว่าหน้าใดเป็นหน้าแรกและสำคัญที่สุด
5. ตรวจสอบเนื้อหาด้วยเครื่องมือ SEO: ใช้เครื่องมือ SEO ต่าง ๆ เช่น Copyscape หรือ Siteliner เพื่อตรวจสอบเนื้อหาซ้ำซ้อนในเว็บไซต์ของคุณ
2. การสร้างลิงก์สแปม (Spammy Links)
การสร้างลิงก์สแปม (Spammy Links) เป็นปัญหาที่สำคัญและอาจทำให้เว็บไซต์ถูก Google ลงโทษ ซึ่งส่งผลต่อการจัดอันดับและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ การสร้างลิงก์โดยใช้วิธีการที่ไม่เป็นธรรมชาติ เช่น การซื้อลิงก์ การใช้ลิงก์ฟาร์ม หรือการแลกเปลี่ยนลิงก์โดยไม่คำนึงถึงคุณภาพของเนื้อหา เป็นตัวอย่างของการสร้างลิงก์สแปม
เหตุผลที่ Google ไม่ชอบลิงก์สแปม
1. การควบคุมคุณภาพ: ลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติหรือถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีการที่ผิดจริยธรรม มักจะไม่มีคุณภาพและไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้
2. ประสบการณ์ของผู้ใช้: ลิงก์สแปมอาจนำผู้ใช้ไปยังหน้าเว็บที่ไม่มีคุณภาพหรือไม่เกี่ยวข้อง ทำให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่แย่
3. การเสียสมดุลของระบบ: ลิงก์สแปมสามารถทำลายสมดุลของระบบการจัดอันดับ ทำให้เว็บไซต์ที่ไม่สมควรได้รับการจัดอันดับที่สูงขึ้นโดยใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง
วิธีการหลีกเลี่ยงการสร้างลิงก์สแปม
1. สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ (Quality Content): เนื้อหาที่มีคุณภาพและเป็นประโยชน์จะดึงดูดลิงก์ธรรมชาติจากเว็บไซต์อื่น ๆ
2. สร้างความสัมพันธ์ทางออนไลน์ (Networking): สร้างความสัมพันธ์กับผู้เขียนบล็อกหรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงลิงก์ที่เป็นธรรมชาติ
3. ใช้วิธีการสร้างลิงก์ที่ปลอดภัย (Safe Link Building Practices): เช่น การเขียนบทความในเว็บไซต์อื่น ๆ (Guest Blogging), การสร้างลิงก์จากโซเชียลมีเดีย, และการเข้าร่วมชุมชนออนไลน์ที่เกี่ยวข้อง
4. ตรวจสอบลิงก์ที่เข้ามา (Monitor Incoming Links): ใช้เครื่องมือ SEO เช่น Google Search Console เพื่อตรวจสอบลิงก์ที่เข้ามาและปฏิเสธลิงก์ที่เป็นสแปม
5. หลีกเลี่ยงการใช้บริการที่ไม่ได้มาตรฐาน: อย่าใช้บริการที่เสนอการสร้างลิงก์จำนวนมากในระยะเวลาสั้น ๆ เพราะมักจะเป็นลิงก์ที่ไม่มีคุณภาพ
3. การใช้คีย์เวิร์ดแบบเกินจริง (Keyword Stuffing)
การใช้คีย์เวิร์ดแบบเกินจริง (Keyword Stuffing) เป็นเทคนิค SEO ที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมชาติ โดยเป็นการใส่คีย์เวิร์ดจำนวนมากเกินไปในเนื้อหาหรือแท็กเพื่อพยายามเพิ่มอันดับการค้นหา ซึ่งจะทำให้ Google มองว่าเป็นการพยายามหลอกลวงระบบและอาจทำให้เว็บไซต์ถูกลงโทษหรือถูกลดอันดับในการค้นหา
เหตุผลที่ Google ไม่ชอบการใช้คีย์เวิร์ดแบบเกินจริง
1. ประสบการณ์ของผู้ใช้ที่แย่ลง: การใช้คีย์เวิร์ดมากเกินไปทำให้เนื้อหาอ่านยากและไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งทำให้ผู้ใช้มีประสบการณ์ที่ไม่ดี
2. การหลอกลวงระบบค้นหา: การใส่คีย์เวิร์ดจำนวนมากเป็นการพยายามหลอกลวงระบบการค้นหาของ Google ซึ่งไม่สอดคล้องกับแนวทางที่ดีของ SEO
3. การสูญเสียความน่าเชื่อถือ: เว็บไซต์ที่ใช้เทคนิคการใช้คีย์เวิร์ดแบบเกินจริงจะสูญเสียความน่าเชื่อถือและความนิยมจากผู้ใช้
วิธีการหลีกเลี่ยงการใช้คีย์เวิร์ดแบบเกินจริง
1. เขียนเนื้อหาที่มีคุณภาพ (High-Quality Content): สร้างเนื้อหาที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์สำหรับผู้ใช้ โดยใช้คีย์เวิร์ดอย่างเป็นธรรมชาติและสอดคล้องกับเนื้อหา
2. ใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง (Relevant Keywords): ใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องและเหมาะสมกับเนื้อหาเท่านั้น
3. ใช้คำพ้องความหมายและคำที่เกี่ยวข้อง (Synonyms and Related Terms): แทนที่จะใช้คีย์เวิร์ดเดียวซ้ำ ๆ ให้ใช้คำพ้องความหมายหรือคำที่เกี่ยวข้องเพื่อเพิ่มความหลากหลายของเนื้อหา
4. การใช้ LSI Keywords: คำว่า Latent Semantic Indexing (LSI) หมายถึงคำที่เกี่ยวข้องและมีความหมายเหมือนกัน การใช้ LSI Keywords จะช่วยให้เนื้อหามีความหลากหลายและเป็นธรรมชาติมากขึ้น
5. การตรวจสอบความหนาแน่นของคีย์เวิร์ด (Keyword Density): ตรวจสอบความหนาแน่นของคีย์เวิร์ดในเนื้อหาให้เหมาะสม ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป โดยปกติแล้วความหนาแน่นของคีย์เวิร์ดควรอยู่ระหว่าง 1-2%
4. พฤติกรรมการเชื่อมโยงที่ผิดปกติ (Unnatural Linking Patterns)
พฤติกรรมการเชื่อมโยงที่ผิดปกติ (Unnatural Linking Patterns) เป็นปัญหาที่สามารถส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ในผลการค้นหาของ Google โดยทั่วไปแล้ว พฤติกรรมเหล่านี้หมายถึงการมีลิงก์เข้าหรือออกที่ไม่เป็นธรรมชาติ เช่น ลิงก์จากเว็บไซต์ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน หรือการมีลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพต่ำ
เหตุผลที่ Google ไม่ชอบพฤติกรรมการเชื่อมโยงที่ผิดปกติ
1. การควบคุมคุณภาพ: ลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติมักจะไม่มีคุณภาพและไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ ซึ่งอาจทำให้เว็บไซต์ดูไม่น่าเชื่อถือ
2. การพยายามหลอกลวงระบบการจัดอันดับ: การมีลิงก์ที่ไม่เป็นธรรมชาติเป็นการพยายามหลอกลวงระบบการจัดอันดับของ Google ซึ่งขัดกับหลักการของ SEO ที่ดี
3. ประสบการณ์ของผู้ใช้ที่แย่ลง: ลิงก์ที่ไม่เกี่ยวข้องหรือจากเว็บไซต์คุณภาพต่ำอาจนำผู้ใช้ไปยังเนื้อหาที่ไม่มีประโยชน์หรือไม่น่าเชื่อถือ ทำให้ประสบการณ์การใช้งานไม่ดี
วิธีการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมการเชื่อมโยงที่ผิดปกติ
1. สร้างลิงก์อย่างเป็นธรรมชาติ (Natural Link Building): สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและมีประโยชน์เพื่อดึงดูดลิงก์จากเว็บไซต์อื่น ๆ อย่างเป็นธรรมชาติ
2. เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง (Relevant Websites): สร้างลิงก์กับเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องและมีคุณภาพสูง
3. ตรวจสอบลิงก์ที่เข้ามา (Monitor Incoming Links): ใช้เครื่องมือ SEO เช่น Google Search Console เพื่อตรวจสอบลิงก์ที่เข้ามาและปฏิเสธลิงก์ที่เป็นสแปม
4. ใช้ลิงก์ที่มาจากการอ้างอิง (Citations): การได้รับลิงก์จากการอ้างอิงในเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง
5. หลีกเลี่ยงการใช้บริการที่ไม่ได้มาตรฐาน: อย่าใช้บริการที่เสนอการสร้างลิงก์จำนวนมากในระยะเวลาสั้น ๆ เพราะมักจะเป็นลิงก์ที่ไม่มีคุณภาพ
5. เนื้อหาที่ไม่ได้มีคุณภาพ (Low-Quality Content)
การมีเนื้อหาที่ไม่ได้มีคุณภาพ (Low-Quality Content) อาจส่งผลกระทบทางลบต่อเว็บไซต์ในหลายด้าน เช่น การลดความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ การลดจำนวนผู้เยี่ยมชม และการถูกลงโทษจากเครื่องมือค้นหาอย่าง Google ซึ่งอาจทำให้การจัดอันดับลดลง
เหตุผลที่ Google ไม่ชอบเนื้อหาที่ไม่ได้มีคุณภาพ
1. การเขียนที่ไม่ดี: เนื้อหาที่มีการใช้ภาษาไม่ถูกต้อง มีข้อผิดพลาดในการเขียนหรือไม่สามารถอ่านได้เข้าใจง่าย
2. ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง: การนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือล้าสมัย ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้งานได้รับข้อมูลที่ไม่เป็นประโยชน์หรือทำให้เข้าใจผิด
3. เนื้อหาที่ไม่มีสาระสำคัญ: การเขียนเนื้อหาที่ไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน เช่น การใส่คำหรือประโยคที่ไม่มีความหมาย หรือการทำสำเนาเนื้อหาจากแหล่งอื่น ๆ โดยไม่มีการเพิ่มมูลค่าใด ๆ
วิธีการหลีกเลี่ยงเนื้อหาที่ไม่ได้มีคุณภาพ
1. ทำการวิจัยและตรวจสอบข้อมูล: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อมูลที่นำเสนอมีความถูกต้องและทันสมัย
2. เขียนด้วยภาษาเข้าใจง่าย: ใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและถูกต้องตามหลักภาษา
3. ให้ความสำคัญกับความต้องการของผู้ใช้งาน: เน้นการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน
4. อัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ: ตรวจสอบและอัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้แน่ใจว่ามีความทันสมัยและเป็นประโยชน์
6. การปิดบังข้อมูล (Cloaking)
การปิดบังข้อมูล (Cloaking) คือเทคนิคที่ใช้ในการแสดงเนื้อหาที่แตกต่างกันให้กับผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา เช่น Googlebot โดยปกติแล้ว เป้าหมายของการปิดบังข้อมูลคือการพยายามหลอกลวงเครื่องมือค้นหาเพื่อให้ได้อันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา โดยการแสดงเนื้อหาที่มีคำสำคัญหรือข้อมูลที่ทำให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจผิดว่าเว็บไซต์นั้นมีคุณค่าสูง หรือมีความเกี่ยวข้องกับคำค้นหาที่กำหนด
ตัวอย่างของการปิดบังข้อมูล
1. แสดงเนื้อหาที่แตกต่างกันระหว่างผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา: เมื่อผู้ใช้เข้าชมเว็บไซต์ พวกเขาอาจเห็นเนื้อหาหนึ่ง แต่เมื่อเครื่องมือค้นหาเข้ามาสำรวจเว็บไซต์เดียวกัน มันอาจเห็นเนื้อหาที่แตกต่างกันไป ซึ่งอาจมีคำสำคัญหรือข้อมูลที่เน้นเพื่อเพิ่มอันดับการค้นหา
2. ใช้ JavaScript หรือเทคนิคการเปลี่ยนเส้นทาง: การใช้ JavaScript หรือเทคนิคการเปลี่ยนเส้นทางเพื่อแสดงเนื้อหาที่แตกต่างกันให้กับผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา
การปิดบังข้อมูลถือว่าเป็นการละเมิดนโยบายของเครื่องมือค้นหา เช่น Google และหากถูกตรวจพบ เว็บไซต์อาจถูกลงโทษด้วยการลดอันดับหรือถูกลบออกจากผลการค้นหาโดยสิ้นเชิง
ดังนั้น เพื่อรักษาความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ควรหลีกเลี่ยงการใช้เทคนิคการปิดบังข้อมูล และเน้นการสร้างเนื้อหาคุณภาพที่มีประโยชน์และเกี่ยวข้องกับผู้ใช้แทน
7. การใช้งาน Redirect ที่ไม่เหมาะสม (Misleading Redirects)
การใช้งาน Redirect ที่ไม่เหมาะสมคือการใช้วิธีการเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้จากหน้าเว็บหนึ่งไปยังหน้าเว็บอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเป็นสแปม ซึ่งมีหลายรูปแบบและอาจส่งผลเสียต่อเว็บไซต์และผู้ใช้ได้ดังนี้
รูปแบบของ Misleading Redirects
1. Redirect ไปยังหน้าเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้อง: การเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้จากหน้าเว็บที่ผู้ใช้คลิกเข้ามาไปยังหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องหรือเป็นเนื้อหาที่ไม่ตรงตามที่คาดหวัง เช่น การเปลี่ยนเส้นทางจากลิงก์ที่มีหัวข้อเฉพาะไปยังหน้าโปรโมชั่นของสินค้า
2. Redirect ไปยังเว็บไซต์ที่เป็นสแปม: การเปลี่ยนเส้นทางผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาไม่พึงประสงค์ เช่น เว็บไซต์ที่เต็มไปด้วยโฆษณา การขายสินค้าหรือบริการที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือเนื้อหาที่เป็นอันตราย
3. Redirect เพื่อหลอกลวงหรือโกง: การใช้เทคนิค Redirect เพื่อหลอกลวงผู้ใช้ เช่น การเปลี่ยนเส้นทางไปยังหน้าเพจที่ขอข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต
4. Redirect เพื่อการทำ SEO แบบ Black Hat: การใช้การเปลี่ยนเส้นทางเพื่อหลอกลวงเครื่องมือค้นหาให้เข้าใจว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์เป็นอย่างอื่น เพื่อให้ได้อันดับที่ดีกว่าในผลการค้นหา
ผลกระทบของ Misleading Redirects
1. เสียความเชื่อถือจากผู้ใช้: ผู้ใช้ที่ถูกเปลี่ยนเส้นทางไปยังเนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องจะรู้สึกไม่พอใจและอาจไม่กลับมาใช้เว็บไซต์อีก
2. การลงโทษจากเครื่องมือค้นหา: Google และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ อาจลงโทษเว็บไซต์ที่ใช้การ Redirect ที่ไม่เหมาะสม โดยการลดอันดับในการค้นหาหรือการถูกแบนจากดัชนีของเครื่องมือค้นหา
3. ความเสียหายทางกฎหมาย: การใช้งาน Redirect ที่หลอกลวงหรือโกงอาจละเมิดกฎหมายการคุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการฟ้องร้องหรือการลงโทษจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
8. การสร้างหน้าเว็บสแปม (Spammy Webpages)
การสร้างหน้าเว็บสแปม (Spammy Webpages) หมายถึงการสร้างหรือใช้หน้าเว็บในลักษณะที่ไม่เป็นไปตามหลักการ SEO ที่ดีและอาจเป็นการละเมิดนโยบายของเครื่องมือค้นหา เช่น Google เพื่อทำให้เกิดผลประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกต้อง หรือการหลอกลวงผู้ใช้ ในที่นี้เราจะพูดถึงลักษณะของหน้าเว็บสแปมและเหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยงการสร้างหรือใช้มัน
ลักษณะของหน้าเว็บสแปม
1. เนื้อหาคุณภาพต่ำ: หน้าเว็บที่มีเนื้อหาที่ไม่มีคุณค่า ไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ หรือคัดลอกมาจากแหล่งอื่น
2. ลิงก์จำนวนมาก: หน้าเว็บที่มีลิงก์ไปยังเว็บไซต์ต่างๆ มากเกินไปหรือใช้ลิงก์สแปม เช่น การสร้างลิงก์ไปยังเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพหรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการพนันและการตลาดที่ผิดกฎหมาย
3. คีย์เวิร์ดเกินพิกัด (Keyword Stuffing): การใช้คำหลักหรือคีย์เวิร์ดมากเกินไปในเนื้อหาหรือในส่วนต่างๆ ของหน้าเว็บเพื่อพยายามจัดอันดับให้ดีขึ้นในเครื่องมือค้นหา
4. การโฆษณาเกินพิกัด: หน้าเว็บที่เต็มไปด้วยโฆษณาแบบไม่เหมาะสมหรือไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหลัก
5. การใช้เทคนิคหลอกลวง: การใช้วิธีการที่หลอกลวงหรือไม่โปร่งใส เช่น การนำเสนอเนื้อหาที่เป็นเท็จหรือใช้การดัดแปลงเพื่อดึงดูดผู้ใช้
6. การสร้างหน้าเว็บอัตโนมัติ: การใช้เครื่องมือหรือสคริปต์ในการสร้างหน้าเว็บหลายๆ หน้าโดยอัตโนมัติ ซึ่งมักมีเนื้อหาที่ซ้ำซากและไม่มีคุณค่า
เหตุผลที่ควรหลีกเลี่ยงการสร้างหรือใช้หน้าเว็บสแปม
1. การลงโทษจากเครื่องมือค้นหา: เว็บไซต์ที่ใช้เทคนิคสแปมอาจได้รับการลงโทษจากเครื่องมือค้นหา เช่น การลดอันดับในการค้นหา หรือการลบเว็บไซต์ออกจากดัชนีของเครื่องมือค้นหา
2. เสียความน่าเชื่อถือ: การใช้เทคนิคสแปมจะทำให้เว็บไซต์ดูไม่น่าเชื่อถือและอาจทำให้ผู้ใช้หรือพันธมิตรทางธุรกิจไม่อยากติดต่อ
3. ผลเสียต่อประสบการณ์ผู้ใช้: หน้าเว็บสแปมมักจะให้ประสบการณ์ที่ไม่ดีแก่ผู้ใช้ และอาจทำให้ผู้ใช้หนีออกจากเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว
4. ปัญหาทางกฎหมาย: การใช้เทคนิคสแปมบางประเภทอาจมีข้อกฎหมายหรือข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งการไม่ปฏิบัติตามอาจทำให้เกิดปัญหาทางกฎหมาย
9. การใช้เทคนิคการปิดบังคำสั่งซื้อ (Hidden Text or Links)
เทคนิคการปิดบังคำสั่งซื้อ (Hidden Text or Links) คือการใช้วิธีที่ซ่อนข้อความหรือลิงก์จากผู้ใช้งาน แต่ยังสามารถถูกค้นพบโดยเครื่องมือค้นหาเพื่อพยายามเพิ่มอันดับการค้นหาในผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา เทคนิคนี้รวมถึง
1. การใช้สีเดียวกันกับพื้นหลัง: ใช้ข้อความที่มีสีเดียวกับพื้นหลังของหน้าเว็บ เช่น ข้อความสีขาวบนพื้นหลังสีขาว
2. การปรับขนาดข้อความให้เล็กมาก: ใช้ข้อความที่มีขนาดเล็กมากจนแทบมองไม่เห็น เช่น ข้อความขนาด 1 พิกเซล
3. การซ่อนข้อความด้วย CSS: ใช้คุณสมบัติ CSS เช่น display: none; หรือ visibility: hidden; เพื่อซ่อนข้อความจากผู้ใช้
4. การใช้การเคลื่อนที่ของข้อความ: ซ่อนข้อความโดยการเลื่อนออกจากการมองเห็น เช่น การใช้ position: absolute; แล้ววางข้อความที่อยู่นอกขอบเขตของหน้า
5. การซ่อนด้วย JavaScript: ใช้ JavaScript ในการสร้างข้อความหรือลิงก์ที่ซ่อนอยู่จากการแสดงผลทั่วไป
ผลกระทบของการใช้เทคนิคเหล่านี้
การใช้เทคนิคการปิดบังคำสั่งซื้อนั้นเป็นวิธีการที่ไม่เป็นธรรมและอาจมีผลกระทบเชิงลบกับเว็บไซต์ของคุณ
1. การละเมิดแนวทางของ Google: Google และเครื่องมือค้นหาอื่นๆ มีกฎเกณฑ์ที่ห้ามการใช้เทคนิคการปิดบังเพื่อหลอกลวงผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา
2. โทษทาง SEO: การใช้เทคนิคเหล่านี้อาจทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกลงโทษหรือถูกแบนจากผลการค้นหา
3. ความเสียหายต่อความเชื่อถือ: การใช้เทคนิคที่ไม่เป็นธรรมอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อความเชื่อถือและชื่อเสียงของเว็บไซต์
บทส่งท้าย
การอัปเดตนี้ช่วยให้ผลการค้นหาของ Google มีความถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งานมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้เว็บไซต์ที่ใช้วิธีการสแปมและเทคนิคที่ไม่ถูกต้องได้รับประโยชน์จากการกระทำดังกล่าว
สำหรับผู้ดูแลเว็บไซต์หรือเจ้าของธุรกิจ การปฏิบัติตามหลักการของ Google Spam Update ในการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและไม่ใช้วิธีการสแปมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้เว็บไซต์มีอันดับที่ดีในผลการค้นหา