ผู้ให้บริการด้าน Social Media Marketing อันดับ 1

SEO กับ SEM คืออะไร ? มีความแตกต่างกันอย่างไร ?

SEO กับ SEM คืออะไร ? มีความแตกต่างกันอย่างไร ?
SEO กับ SEM กลยุทธ์การทำการตลาดออนไลน์ ที่มีส่วนสำคัญมากกับการทำธุรกิจ ทั้งการทำ SEO กับ SEM มีแนวทางการทำงาน รวมถึงผลดีผลเสียที่แตกต่างกัน ซึ่งรายละเอียดของการทำงาน SEO กับ SEM ทั้งสองแบบนี้ จะมีเนื้อหาความน่าสนใจอย่างไรบ้างนั้น ติดตามไปพร้อมกันกับ SocialIn.One ได้เลย

SEO กับ SEM คืออะไร ? มาทำความรู้จักกัน

SEO (Search Engine Optimization) และ SEM (Search Engine Marketing) ต่างก็เป็นเทคนิคที่สำคัญในการทำการตลาดออนไลน์บนหน้าค้นหา (Search Marketing) แต่ SEO กับ SEM มีความแตกต่างกันในหลายๆ ด้านที่สำคัญ ดังนี้

SEO (Search Engine Optimization)

การทำ SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์และเนื้อหาให้เหมาะสมกับการค้นหาบนเครื่องมือค้นหา (เช่น Google) เพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic Search Results) โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับการโฆษณา

การทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและติดอันดับการค้นหาในหน้าแรกของ Google อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องยึดมั่นใน 4 แกนหลักดังนี้

1. Technical SEO

Technical SEO เป็นการพัฒนาโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการค้นหาและประสิทธิภาพที่ดีที่สุด โดยรวมถึง

  • ความเร็วของเว็บไซต์: เว็บไซต์ที่โหลดเร็วช่วยเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้งานและส่งผลดีต่ออันดับการค้นหา
  • Mobile Friendly: การทำให้เว็บไซต์ใช้งานได้ดีบนอุปกรณ์มือถือ เพราะปัจจุบันมีผู้ใช้งานมือถือเพิ่มขึ้นอย่างมาก
  • โครงสร้างข้อมูล (Structured Data): ใช้ Schema Markup เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น
  • การวางเนื้อหาให้เหมาะสมกับการ Crawling และ Indexing ของ Google: ทำให้ Bot ของ Google เข้ามาเก็บข้อมูลได้ง่ายขึ้น เช่น การใช้ Sitemap และ Robots.txt

2. On-Page SEO

On-Page SEO คือการปรับปรุงเนื้อหาและโครงสร้างของหน้าเว็บเพจเอง โดยรวมถึง

  • การใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม: วางคีย์เวิร์ดในส่วนต่างๆ ของหน้าเว็บ เช่น หัวข้อ, เนื้อหา, Meta Description และ Alt Text ของภาพ
  • การจัดโครงสร้างบทความ: ใช้ Heading Tags (H1, H2, H3) อย่างถูกต้องเพื่อให้เนื้อหามีความชัดเจนและง่ายต่อการทำความเข้าใจ
  • การปรับปรุงเนื้อหาให้เป็นมิตรกับผู้ใช้: เนื้อหาที่อ่านง่าย มีการใช้ Bullet Points, รูปภาพ และวิดีโอ
  • การปรับปรุง URL: ใช้ URL ที่สั้นและชัดเจนซึ่งรวมคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง

3. Off-Page SEO

Off-Page SEO คือการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ผ่านการสร้างลิงก์ (Backlinks) จากเว็บไซต์ภายนอก โดยรวมถึง

  • การสร้าง Backlinks ที่มีคุณภาพ: ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ
  • การทำ Social Media Marketing: การโปรโมทเนื้อหาบนแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์เพื่อเพิ่มการเข้าชมและสร้างลิงก์เพิ่มเติม
  • การทำ Guest Blogging: การเขียนบทความบนเว็บไซต์อื่นที่มีความเกี่ยวข้องและแปะลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ

4. Content หรือเนื้อหาบนเว็บไซต์

Content คือหัวใจสำคัญของการทำ SEO เพราะเนื้อหาที่มีคุณภาพจะช่วยดึงดูดผู้ใช้งานและได้รับความสนใจจากเครื่องมือค้นหา โดยรวมถึง

  • การสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ Search Intent: ทำความเข้าใจสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการรู้และสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์นั้น
  • การผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ: เนื้อหาที่มีความลึกซึ้ง ตรงประเด็น และมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน
  • การอัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ: เพิ่มและปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยและมีข้อมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ
  • การใช้สื่อผสม: การใช้รูปภาพ วิดีโอ อินโฟกราฟิก และสื่ออื่นๆ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและความมีชีวิตชีวาให้กับเนื้อหา

การยึดมั่นใน 4 แกนหลักนี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถติดอันดับที่ดีในผลการค้นหาของ Google และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้เข้าชมอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องใช้วิธีการที่เสี่ยงต่อการโดนลงโทษจากเครื่องมือค้นหา

ลักษณะเด่นของ SEO

1. การปรับปรุงผลการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic Search Results)

  • ไม่ต้องจ่ายเงินต่อคลิก: การปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ได้อันดับที่ดีในผลการค้นหาแบบธรรมชาติ ไม่ต้องจ่ายเงินสำหรับการคลิกที่เข้ามายังเว็บไซต์
  • ยั่งยืนในระยะยาว: เมื่อทำ SEO ได้ดีและเว็บไซต์มีอันดับสูง การรักษาอันดับจะต้องการการปรับปรุงเพียงเล็กน้อยและสามารถรักษาทราฟฟิคได้ยั่งยืนกว่า SEM

2. การเน้นคุณภาพของเนื้อหาและประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience)

  • เนื้อหาที่มีคุณภาพ: SEO เน้นการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ มีความเกี่ยวข้องกับคำค้นหาและมีประโยชน์ต่อผู้ใช้
  • ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ: การปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว
  • ความเป็นมิตรกับมือถือ (Mobile-Friendliness): เว็บไซต์ที่เหมาะสมกับการใช้งานบนอุปกรณ์มือถือมีความสำคัญต่อการจัดอันดับ

3. การเพิ่มความน่าเชื่อถือและความนิยมของเว็บไซต์ (Authority and Trustworthiness)

  • Backlinks: การสร้างลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีคุณภาพสูงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับของเว็บไซต์
  • E-A-T (Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness): Google ให้ความสำคัญกับความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจในเนื้อหาและเว็บไซต์

4. การปรับแต่งเทคนิคและโครงสร้างของเว็บไซต์ (Technical and Structural Optimization)

  • การใช้งานไฟล์ robots.txt และ sitemaps: เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึงและอินเด็กซ์หน้าเว็บได้อย่างถูกต้อง
  • การจัดการโครงสร้าง URL: ใช้ URL ที่ชัดเจนและมีโครงสร้างที่ดี
  • การใช้ Schema Markup: เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น

5. การวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Analysis and Improvement)

  • การติดตามผล: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เช่น Google Analytics และ Google Search Console เพื่อติดตามประสิทธิภาพของเว็บไซต์
  • การปรับปรุงต่อเนื่อง: การปรับปรุงเนื้อหาและเทคนิคต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาและปรับปรุงอันดับในผลการค้นหา
SEO (Search Engine Optimization)

SEM (Search Engine Marketing)

การทำ SEM คือการใช้เงินซื้อโฆษณาบนเครื่องมือค้นหาเพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับสูงในผลการค้นหาแบบชำระเงิน (Paid Search Results) เช่น การใช้ Google Ads

SEM หรือการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้เว็บไซต์หรือเว็บเพจขึ้นสู่หน้าแรกของการค้นหาได้ทันที โดยใช้วิธีการจ่ายเงินเพื่อโฆษณาแบบ PPC (Pay-per-click) ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์ถูกนำไปแสดงผลในอันดับแรกๆ ของหน้าการค้นหา

การทำ SEM มีขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้

1. Keyword Research

การวิจัยคีย์เวิร์ดเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการทำ SEM เพื่อค้นหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องและมีความน่าสนใจสำหรับกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner เพื่อระบุคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงและมีค่าใช้จ่ายต่อคลิก (CPC) ที่เหมาะสม

2. Competitor Insight

การวิเคราะห์คู่แข่งเป็นการศึกษาวิธีการที่คู่แข่งใช้ในการทำโฆษณา รวมถึงคีย์เวิร์ดที่พวกเขาใช้ รูปแบบของโฆษณา และกลุ่มเป้าหมายที่พวกเขามุ่งหวัง เพื่อให้เราสามารถสร้างแคมเปญที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

3. การสร้างแคมเปญโฆษณา

การสร้างแคมเปญโฆษณาใน SEM มีหลายรูปแบบ เช่น

  • Search Ads: โฆษณาที่จะแสดงบนหน้าค้นหาตามคีย์เวิร์ดที่ซื้อไว้ โฆษณานี้จะปรากฏในอันดับแรกๆ ของผลการค้นหา
  • Shopping Ads: โฆษณาที่จะแสดงเป็นภาพสินค้าพร้อมข้อมูลสำคัญ เช่น ราคา ชื่อสินค้า บนหน้าค้นหา Google ซึ่งเหมาะสำหรับเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์
  • Display Ads: โฆษณาที่แสดงเป็นภาพหรือข้อความในรูปแบบแบนเนอร์ บนหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google ซึ่งช่วยในการเพิ่มการรับรู้แบรนด์
  • YouTube Ads: โฆษณาที่แสดงเป็นวิดีโอเมื่อผู้ใช้งานกำลังรับชมวิดีโอบน YouTube ซึ่งเหมาะสำหรับการสื่อสารข้อมูลที่ซับซ้อนหรือสร้างความน่าสนใจในระยะเวลาอันสั้น

4. การจัดการและปรับปรุงแคมเปญ

หลังจากตั้งค่าแคมเปญแล้ว การติดตามผลและปรับปรุงแคมเปญเป็นสิ่งสำคัญ

  • การติดตามผล: ใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics และ Google Ads เพื่อวัดผลลัพธ์ของแคมเปญ เช่น จำนวนคลิก, อัตราการแปลง (Conversion Rate), และค่าใช้จ่ายต่อคลิก
  • การปรับปรุง: ปรับแต่งคีย์เวิร์ด, ข้อความโฆษณา, และกลุ่มเป้าหมายตามผลลัพธ์ที่ได้รับ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย

การทำ SEM เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการเพิ่ม Traffic และยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ในระยะเวลาสั้น แต่ต้องมีการจัดการและปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ลักษณะเด่นของ SEM

1. ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว (Immediate Results)

  • การปรากฏในผลการค้นหาทันที: SEM ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในตำแหน่งที่โดดเด่นในผลการค้นหาทันทีหลังจากเริ่มแคมเปญโฆษณา
  • ทราฟฟิคทันที: สามารถดึงดูดผู้เยี่ยมชมมายังเว็บไซต์ได้ทันทีที่โฆษณาถูกแสดง

2. การควบคุมงบประมาณ (Budget Control)

  • จ่ายตามจำนวนคลิก (Pay-Per-Click, PPC): คุณจ่ายเงินเมื่อมีคนคลิกที่โฆษณาของคุณเท่านั้น ซึ่งช่วยในการควบคุมงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
  • การตั้งงบประมาณรายวันและต่อแคมเปญ: สามารถกำหนดงบประมาณที่ต้องการใช้จ่ายได้ทั้งรายวันและรวมทั้งแคมเปญ

3. การเลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ (Precise Targeting)

  • การเลือกคำค้นหา (Keywords Targeting): สามารถเลือกคำค้นหาที่เฉพาะเจาะจงที่ผู้ใช้คาดว่าจะใช้
  • การกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมและข้อมูลประชากร: สามารถกำหนดเป้าหมายตามพฤติกรรม การใช้งาน และข้อมูลประชากร เช่น อายุ เพศ ที่อยู่ และความสนใจ

4. การวัดผลและการปรับปรุง (Measurable and Adjustable)

  • การวัดผลลัพธ์ที่ชัดเจน: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เช่น Google Ads, Google Analytics เพื่อวัดผลการคลิก, การแปลง (conversion) และประสิทธิภาพของโฆษณา
  • การปรับปรุงแบบเรียลไทม์: สามารถปรับปรุงและปรับแต่งโฆษณาแบบเรียลไทม์เพื่อตอบสนองต่อผลลัพธ์และการเปลี่ยนแปลงของตลาด

5. การสร้างแบรนด์ (Brand Awareness)

  • การปรากฏในตำแหน่งที่โดดเด่น: โฆษณาที่แสดงในตำแหน่งบนสุดของผลการค้นหาช่วยเพิ่มการมองเห็นและสร้างความจดจำให้กับแบรนด์
  • การสร้างความเชื่อมั่น: การปรากฏในผลการค้นหาที่ผู้ใช้เห็นบ่อยครั้งสามารถสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ของคุณ

6. การใช้หลากหลายรูปแบบของโฆษณา (Diverse Ad Formats)

  • โฆษณาแบบข้อความ (Text Ads): โฆษณาที่แสดงเป็นข้อความในผลการค้นหา
  • โฆษณาแบบรูปภาพและวิดีโอ (Display Ads and Video Ads): โฆษณาที่แสดงในรูปแบบของรูปภาพและวิดีโอบนเว็บไซต์พันธมิตรหรือบน YouTube
  • โฆษณาบนมือถือ (Mobile Ads): โฆษณาที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้ใช้บนอุปกรณ์มือถือ

7. การเข้าถึงผู้ใช้ในทุกขั้นตอนของการซื้อ (Full Funnel Marketing)

  • การดึงดูด (Awareness): สร้างการรับรู้ถึงแบรนด์และผลิตภัณฑ์
  • การพิจารณา (Consideration): ช่วยให้ผู้ใช้พิจารณาเลือกผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ
  • การแปลง (Conversion): ส่งเสริมให้ผู้ใช้ทำการซื้อหรือทำกิจกรรมที่ต้องการ
SEM (Search Engine Marketing)

การเลือกใช้ SEO กับ SEM พิจารณาจากอะไร ?

ควรเลือกทำ SEO ตอนไหน ?

การเลือกทำ SEO (Search Engine Optimization) ให้กับเว็บไซต์นั้นมีความสำคัญและเหมาะสมในกรณีดังต่อไปนี้

1. ธุรกิจไม่ได้รีบขายสินค้า/บริการ: ถ้าธุรกิจของคุณมีเวลาที่สามารถรอผลลัพธ์ได้ในระยะ 3-6 เดือน การทำ SEO เป็นทางเลือกที่ดี เพราะการทำ SEO ต้องใช้เวลาในการสร้างฐานลูกค้าให้แข็งแรง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะส่งผลดีในระยะยาว ทั้งในด้านการเพิ่ม Traffic เข้าสู่เว็บไซต์และการสร้าง Leads ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าสูง การทำ SEO ช่วยให้คุณสามารถวางกลยุทธ์ในการปิดการขายได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น

2. การตลาดออนไลน์ที่ยั่งยืน: หากคุณต้องการให้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของธุรกิจสามารถดึงดูดลูกค้าได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาการโฆษณาที่มีค่าใช้จ่ายสูงในแต่ละเดือน การทำ SEO เป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากผลลัพธ์จากการทำ SEO สามารถเพิ่ม Traffic และ Leads ได้ในระยะยาว โดยไม่ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

3. มีเวลาและทีมงานที่สามารถดูแลการทำ SEO ได้ทุกขั้นตอน: การทำ SEO ต้องการการดูแลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง หากคุณมีเวลาและทีมงานที่สามารถดูแลกระบวนการทำ SEO ได้ทุกขั้นตอน จะช่วยให้ผลลัพธ์จากการทำ SEO เป็นไปในทางบวกและยั่งยืน การทำ SEO ต้องการความรู้ความเข้าใจในเทคนิคต่าง ๆ รวมถึงการวิเคราะห์และปรับปรุงเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและเกณฑ์การจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา

4. ธุรกิจ B2B (Business to Business): การทำ SEO เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างความเชื่อมั่นและการรับรู้ในตลาด B2B โดยการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเป็นที่เชื่อถือ

การทำ SEO เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ถ้าทำอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่ม Traffic และ Leads ได้อย่างยั่งยืน และเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในระยะยาว

ควรเลือกทำ SEM ตอนไหน ?

การเลือกทำ SEM (Search Engine Marketing) ให้กับเว็บไซต์เหมาะสมในกรณีดังต่อไปนี้

1. สินค้าหรือบริการของธุรกิจไม่ต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน: ถ้าสินค้าหรือบริการของคุณเป็นสิ่งที่ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน การทำ SEM จะช่วยให้คุณสามารถโปรโมทสินค้า/บริการให้ลูกค้าเห็นและพร้อมซื้อได้ทันที ซึ่งเหมาะกับสินค้าที่มีราคาปานกลางหรือต่ำ หรือเป็นสิ่งจำเป็นที่คนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน

2. ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว: หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาในหน้าแรกได้ทันที การทำ SEM เป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากการซื้อโฆษณาจะทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่บนหน้าแรกของผลการค้นหาในทันที ต่างจากการทำ SEO ที่ต้องใช้เวลาในการสร้างอันดับ

3. มีงบประมาณเพียงพอสำหรับการซื้อโฆษณา: การทำ SEM ต้องใช้งบประมาณในการซื้อโฆษณาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Google Ads หรือแพลตฟอร์มโฆษณาอื่น ๆ คุณต้องมีงบประมาณที่มากพอสำหรับการซื้อโฆษณาในแต่ละสัปดาห์ และต้องใช้จนกว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้

การทำ SEM ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็วและสามารถสร้างยอดขายได้ในทันทีหากมีการวางแผนและบริหารจัดการอย่างเหมาะสม

SEO and SEM

เปรียบเทียบ SEO กับ SEM แบบหมัดต่อหมัด

1. ความเร็วในการเห็นผลลัพธ์

  • SEO: ต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงปีเพื่อที่จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เนื่องจากต้องปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ให้เข้ากับอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหา
  • SEM: สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังจากตั้งค่าและเริ่มแคมเปญโฆษณา เว็บไซต์จะปรากฏในผลการค้นหาทันที

ผู้ชนะ: SEM (ในเรื่องของความเร็ว)

2. ค่าใช้จ่าย

  • SEO: ค่าใช้จ่ายหลักจะอยู่ที่การจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือการลงทุนเวลาในการเรียนรู้และลงมือทำเอง นอกจากนี้ยังอาจมีค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องมือ SEO ต่างๆ
  • SEM: ต้องมีงบประมาณสำหรับการจ่ายค่าโฆษณา (PPC) ซึ่งจะเพิ่มขึ้นตามการแข่งขันของคีย์เวิร์ดและช่วงเวลา

ผู้ชนะ: SEO (ในเรื่องของการประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว)

3. ความยั่งยืน

  • SEO: เมื่อเว็บไซต์ติดอันดับดีแล้ว มักจะรักษาอันดับได้ยาวนาน แม้ว่าจะต้องมีการปรับปรุงบ้างเป็นครั้งคราว
  • SEM: ผลลัพธ์จะหายไปทันทีที่หยุดจ่ายค่าโฆษณา

ผู้ชนะ: SEO (ในเรื่องของความยั่งยืน)

4. การควบคุมกลุ่มเป้าหมาย

  • SEO: สามารถกำหนดคีย์เวิร์ดและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง แต่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างละเอียดเท่ากับ SEM
  • SEM: สามารถตั้งค่าเพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนตามภูมิภาค อายุ เพศ ความสนใจ ฯลฯ

ผู้ชนะ: SEM (ในเรื่องของการควบคุมกลุ่มเป้าหมาย)

5. การวัดผลและปรับปรุง

  • SEO: ต้องใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Google Analytics, Google Search Console ในการวัดผลและปรับปรุงเว็บไซต์ ต้องใช้เวลาในการเห็นผลของการเปลี่ยนแปลง
  • SEM: มีเครื่องมือวัดผลและการปรับปรุงแบบเรียลไทม์ เช่น Google Ads สามารถปรับแคมเปญได้ทันทีตามผลลัพธ์ที่ได้

ผู้ชนะ: SEM (ในเรื่องของการวัดผลและปรับปรุงแบบเรียลไทม์)

สรุปการเลือกใช้ SEO หรือ SEM

  • SEO เหมาะกับ: ธุรกิจที่มองหาผลลัพธ์ระยะยาว, มีคอนเทนต์คุณภาพ, มีงบประมาณจำกัดสำหรับการโฆษณา, และธุรกิจ B2B
  • SEM เหมาะกับ: ธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว, สินค้าหรือบริการที่มีการตัดสินใจซื้อง่าย, มีงบประมาณสำหรับการโฆษณา, และต้องการโปรโมทข้อเสนอพิเศษ

การทำ SEO กับ SEM ควบคู่กัน เป็นทางเลือกที่ดีเพื่อให้ได้ประโยชน์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยใช้ SEM เพื่อเพิ่มการเข้าชมในช่วงแรก และทำ SEO เพื่อเพิ่มการเข้าชมในระยะยาว

SEO vs SEM

บทส่งท้าย

การเลือกใช้ SEO หรือ SEM ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ระยะเวลา และงบประมาณของธุรกิจ หากสามารถทำทั้งสองอย่างควบคู่กันได้ก็จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับที่ดีในผลการค้นหาบน Google

บริการปั้มไลค์ เพิ่มผู้ติดตาม ปั้มยอดวิว มีครบจบที่ Auto-Like.co

แชร์:

ความคิดเห็น:

หัวข้อเรื่อง