SEO กับ SEM คืออะไร ? มาทำความรู้จักกัน
SEO (Search Engine Optimization)
การทำ SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์และเนื้อหาให้เหมาะสมกับการค้นหาบนเครื่องมือค้นหา (เช่น Google) เพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic Search Results) โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับการโฆษณา
การทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ธุรกิจให้ประสบความสำเร็จและติดอันดับการค้นหาในหน้าแรกของ Google อย่างยั่งยืน จำเป็นต้องยึดมั่นใน 4 แกนหลักดังนี้
1. Technical SEO
Technical SEO เป็นการพัฒนาโครงสร้างของเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการค้นหาและประสิทธิภาพที่ดีที่สุด โดยรวมถึง
- ความเร็วของเว็บไซต์: เว็บไซต์ที่โหลดเร็วช่วยเพิ่มประสบการณ์ของผู้ใช้งานและส่งผลดีต่ออันดับการค้นหา
- Mobile Friendly: การทำให้เว็บไซต์ใช้งานได้ดีบนอุปกรณ์มือถือ เพราะปัจจุบันมีผู้ใช้งานมือถือเพิ่มขึ้นอย่างมาก
- โครงสร้างข้อมูล (Structured Data): ใช้ Schema Markup เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น
- การวางเนื้อหาให้เหมาะสมกับการ Crawling และ Indexing ของ Google: ทำให้ Bot ของ Google เข้ามาเก็บข้อมูลได้ง่ายขึ้น เช่น การใช้ Sitemap และ Robots.txt
2. On-Page SEO
On-Page SEO คือการปรับปรุงเนื้อหาและโครงสร้างของหน้าเว็บเพจเอง โดยรวมถึง
- การใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม: วางคีย์เวิร์ดในส่วนต่างๆ ของหน้าเว็บ เช่น หัวข้อ, เนื้อหา, Meta Description และ Alt Text ของภาพ
- การจัดโครงสร้างบทความ: ใช้ Heading Tags (H1, H2, H3) อย่างถูกต้องเพื่อให้เนื้อหามีความชัดเจนและง่ายต่อการทำความเข้าใจ
- การปรับปรุงเนื้อหาให้เป็นมิตรกับผู้ใช้: เนื้อหาที่อ่านง่าย มีการใช้ Bullet Points, รูปภาพ และวิดีโอ
- การปรับปรุง URL: ใช้ URL ที่สั้นและชัดเจนซึ่งรวมคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง
3. Off-Page SEO
Off-Page SEO คือการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ผ่านการสร้างลิงก์ (Backlinks) จากเว็บไซต์ภายนอก โดยรวมถึง
- การสร้าง Backlinks ที่มีคุณภาพ: ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ
- การทำ Social Media Marketing: การโปรโมทเนื้อหาบนแพลตฟอร์มสังคมออนไลน์เพื่อเพิ่มการเข้าชมและสร้างลิงก์เพิ่มเติม
- การทำ Guest Blogging: การเขียนบทความบนเว็บไซต์อื่นที่มีความเกี่ยวข้องและแปะลิงก์กลับมายังเว็บไซต์ของคุณ
4. Content หรือเนื้อหาบนเว็บไซต์
Content คือหัวใจสำคัญของการทำ SEO เพราะเนื้อหาที่มีคุณภาพจะช่วยดึงดูดผู้ใช้งานและได้รับความสนใจจากเครื่องมือค้นหา โดยรวมถึง
- การสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ Search Intent: ทำความเข้าใจสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการรู้และสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์นั้น
- การผลิตเนื้อหาที่มีคุณภาพ: เนื้อหาที่มีความลึกซึ้ง ตรงประเด็น และมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน
- การอัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ: เพิ่มและปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมัยและมีข้อมูลใหม่ๆ อยู่เสมอ
- การใช้สื่อผสม: การใช้รูปภาพ วิดีโอ อินโฟกราฟิก และสื่ออื่นๆ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจและความมีชีวิตชีวาให้กับเนื้อหา
การยึดมั่นใน 4 แกนหลักนี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณสามารถติดอันดับที่ดีในผลการค้นหาของ Google และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดผู้เข้าชมอย่างยั่งยืน โดยไม่ต้องใช้วิธีการที่เสี่ยงต่อการโดนลงโทษจากเครื่องมือค้นหา
ลักษณะเด่นของ SEO
1. การปรับปรุงผลการค้นหาแบบธรรมชาติ (Organic Search Results)
- ไม่ต้องจ่ายเงินต่อคลิก: การปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ได้อันดับที่ดีในผลการค้นหาแบบธรรมชาติ ไม่ต้องจ่ายเงินสำหรับการคลิกที่เข้ามายังเว็บไซต์
- ยั่งยืนในระยะยาว: เมื่อทำ SEO ได้ดีและเว็บไซต์มีอันดับสูง การรักษาอันดับจะต้องการการปรับปรุงเพียงเล็กน้อยและสามารถรักษาทราฟฟิคได้ยั่งยืนกว่า SEM
2. การเน้นคุณภาพของเนื้อหาและประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience)
- เนื้อหาที่มีคุณภาพ: SEO เน้นการสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ มีความเกี่ยวข้องกับคำค้นหาและมีประโยชน์ต่อผู้ใช้
- ความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ: การปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้รวดเร็ว
- ความเป็นมิตรกับมือถือ (Mobile-Friendliness): เว็บไซต์ที่เหมาะสมกับการใช้งานบนอุปกรณ์มือถือมีความสำคัญต่อการจัดอันดับ
3. การเพิ่มความน่าเชื่อถือและความนิยมของเว็บไซต์ (Authority and Trustworthiness)
- Backlinks: การสร้างลิงก์ย้อนกลับจากเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีคุณภาพสูงช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอันดับของเว็บไซต์
- E-A-T (Expertise, Authoritativeness, Trustworthiness): Google ให้ความสำคัญกับความเชี่ยวชาญ ความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจในเนื้อหาและเว็บไซต์
4. การปรับแต่งเทคนิคและโครงสร้างของเว็บไซต์ (Technical and Structural Optimization)
- การใช้งานไฟล์ robots.txt และ sitemaps: เพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถเข้าถึงและอินเด็กซ์หน้าเว็บได้อย่างถูกต้อง
- การจัดการโครงสร้าง URL: ใช้ URL ที่ชัดเจนและมีโครงสร้างที่ดี
- การใช้ Schema Markup: เพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาของเว็บไซต์ได้ดีขึ้น
5. การวิเคราะห์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Analysis and Improvement)
- การติดตามผล: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เช่น Google Analytics และ Google Search Console เพื่อติดตามประสิทธิภาพของเว็บไซต์
- การปรับปรุงต่อเนื่อง: การปรับปรุงเนื้อหาและเทคนิคต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาและปรับปรุงอันดับในผลการค้นหา
SEM (Search Engine Marketing)
การทำ SEM คือการใช้เงินซื้อโฆษณาบนเครื่องมือค้นหาเพื่อให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับสูงในผลการค้นหาแบบชำระเงิน (Paid Search Results) เช่น การใช้ Google Ads
SEM หรือการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้เว็บไซต์หรือเว็บเพจขึ้นสู่หน้าแรกของการค้นหาได้ทันที โดยใช้วิธีการจ่ายเงินเพื่อโฆษณาแบบ PPC (Pay-per-click) ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์ถูกนำไปแสดงผลในอันดับแรกๆ ของหน้าการค้นหา
การทำ SEM มีขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้
1. Keyword Research
การวิจัยคีย์เวิร์ดเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการทำ SEM เพื่อค้นหาคำค้นหาที่เกี่ยวข้องและมีความน่าสนใจสำหรับกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner เพื่อระบุคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาสูงและมีค่าใช้จ่ายต่อคลิก (CPC) ที่เหมาะสม
2. Competitor Insight
การวิเคราะห์คู่แข่งเป็นการศึกษาวิธีการที่คู่แข่งใช้ในการทำโฆษณา รวมถึงคีย์เวิร์ดที่พวกเขาใช้ รูปแบบของโฆษณา และกลุ่มเป้าหมายที่พวกเขามุ่งหวัง เพื่อให้เราสามารถสร้างแคมเปญที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
3. การสร้างแคมเปญโฆษณา
การสร้างแคมเปญโฆษณาใน SEM มีหลายรูปแบบ เช่น
- Search Ads: โฆษณาที่จะแสดงบนหน้าค้นหาตามคีย์เวิร์ดที่ซื้อไว้ โฆษณานี้จะปรากฏในอันดับแรกๆ ของผลการค้นหา
- Shopping Ads: โฆษณาที่จะแสดงเป็นภาพสินค้าพร้อมข้อมูลสำคัญ เช่น ราคา ชื่อสินค้า บนหน้าค้นหา Google ซึ่งเหมาะสำหรับเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์
- Display Ads: โฆษณาที่แสดงเป็นภาพหรือข้อความในรูปแบบแบนเนอร์ บนหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google ซึ่งช่วยในการเพิ่มการรับรู้แบรนด์
- YouTube Ads: โฆษณาที่แสดงเป็นวิดีโอเมื่อผู้ใช้งานกำลังรับชมวิดีโอบน YouTube ซึ่งเหมาะสำหรับการสื่อสารข้อมูลที่ซับซ้อนหรือสร้างความน่าสนใจในระยะเวลาอันสั้น
4. การจัดการและปรับปรุงแคมเปญ
หลังจากตั้งค่าแคมเปญแล้ว การติดตามผลและปรับปรุงแคมเปญเป็นสิ่งสำคัญ
- การติดตามผล: ใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics และ Google Ads เพื่อวัดผลลัพธ์ของแคมเปญ เช่น จำนวนคลิก, อัตราการแปลง (Conversion Rate), และค่าใช้จ่ายต่อคลิก
- การปรับปรุง: ปรับแต่งคีย์เวิร์ด, ข้อความโฆษณา, และกลุ่มเป้าหมายตามผลลัพธ์ที่ได้รับ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย
การทำ SEM เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับการเพิ่ม Traffic และยอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ในระยะเวลาสั้น แต่ต้องมีการจัดการและปรับปรุงแคมเปญอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ลักษณะเด่นของ SEM
1. ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว (Immediate Results)
- การปรากฏในผลการค้นหาทันที: SEM ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในตำแหน่งที่โดดเด่นในผลการค้นหาทันทีหลังจากเริ่มแคมเปญโฆษณา
- ทราฟฟิคทันที: สามารถดึงดูดผู้เยี่ยมชมมายังเว็บไซต์ได้ทันทีที่โฆษณาถูกแสดง
2. การควบคุมงบประมาณ (Budget Control)
- จ่ายตามจำนวนคลิก (Pay-Per-Click, PPC): คุณจ่ายเงินเมื่อมีคนคลิกที่โฆษณาของคุณเท่านั้น ซึ่งช่วยในการควบคุมงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
- การตั้งงบประมาณรายวันและต่อแคมเปญ: สามารถกำหนดงบประมาณที่ต้องการใช้จ่ายได้ทั้งรายวันและรวมทั้งแคมเปญ
3. การเลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ (Precise Targeting)
- การเลือกคำค้นหา (Keywords Targeting): สามารถเลือกคำค้นหาที่เฉพาะเจาะจงที่ผู้ใช้คาดว่าจะใช้
- การกำหนดกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมและข้อมูลประชากร: สามารถกำหนดเป้าหมายตามพฤติกรรม การใช้งาน และข้อมูลประชากร เช่น อายุ เพศ ที่อยู่ และความสนใจ
4. การวัดผลและการปรับปรุง (Measurable and Adjustable)
- การวัดผลลัพธ์ที่ชัดเจน: ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เช่น Google Ads, Google Analytics เพื่อวัดผลการคลิก, การแปลง (conversion) และประสิทธิภาพของโฆษณา
- การปรับปรุงแบบเรียลไทม์: สามารถปรับปรุงและปรับแต่งโฆษณาแบบเรียลไทม์เพื่อตอบสนองต่อผลลัพธ์และการเปลี่ยนแปลงของตลาด
5. การสร้างแบรนด์ (Brand Awareness)
- การปรากฏในตำแหน่งที่โดดเด่น: โฆษณาที่แสดงในตำแหน่งบนสุดของผลการค้นหาช่วยเพิ่มการมองเห็นและสร้างความจดจำให้กับแบรนด์
- การสร้างความเชื่อมั่น: การปรากฏในผลการค้นหาที่ผู้ใช้เห็นบ่อยครั้งสามารถสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ของคุณ
6. การใช้หลากหลายรูปแบบของโฆษณา (Diverse Ad Formats)
- โฆษณาแบบข้อความ (Text Ads): โฆษณาที่แสดงเป็นข้อความในผลการค้นหา
- โฆษณาแบบรูปภาพและวิดีโอ (Display Ads and Video Ads): โฆษณาที่แสดงในรูปแบบของรูปภาพและวิดีโอบนเว็บไซต์พันธมิตรหรือบน YouTube
- โฆษณาบนมือถือ (Mobile Ads): โฆษณาที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับผู้ใช้บนอุปกรณ์มือถือ
7. การเข้าถึงผู้ใช้ในทุกขั้นตอนของการซื้อ (Full Funnel Marketing)
- การดึงดูด (Awareness): สร้างการรับรู้ถึงแบรนด์และผลิตภัณฑ์
- การพิจารณา (Consideration): ช่วยให้ผู้ใช้พิจารณาเลือกผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ
- การแปลง (Conversion): ส่งเสริมให้ผู้ใช้ทำการซื้อหรือทำกิจกรรมที่ต้องการ
การเลือกใช้ SEO กับ SEM พิจารณาจากอะไร ?
ควรเลือกทำ SEO ตอนไหน ?
การเลือกทำ SEO (Search Engine Optimization) ให้กับเว็บไซต์นั้นมีความสำคัญและเหมาะสมในกรณีดังต่อไปนี้
1. ธุรกิจไม่ได้รีบขายสินค้า/บริการ: ถ้าธุรกิจของคุณมีเวลาที่สามารถรอผลลัพธ์ได้ในระยะ 3-6 เดือน การทำ SEO เป็นทางเลือกที่ดี เพราะการทำ SEO ต้องใช้เวลาในการสร้างฐานลูกค้าให้แข็งแรง ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้จะส่งผลดีในระยะยาว ทั้งในด้านการเพิ่ม Traffic เข้าสู่เว็บไซต์และการสร้าง Leads ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าสูง การทำ SEO ช่วยให้คุณสามารถวางกลยุทธ์ในการปิดการขายได้อย่างตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น
2. การตลาดออนไลน์ที่ยั่งยืน: หากคุณต้องการให้กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของธุรกิจสามารถดึงดูดลูกค้าได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาการโฆษณาที่มีค่าใช้จ่ายสูงในแต่ละเดือน การทำ SEO เป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากผลลัพธ์จากการทำ SEO สามารถเพิ่ม Traffic และ Leads ได้ในระยะยาว โดยไม่ต้องจ่ายเงินค่าโฆษณาเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง
3. มีเวลาและทีมงานที่สามารถดูแลการทำ SEO ได้ทุกขั้นตอน: การทำ SEO ต้องการการดูแลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง หากคุณมีเวลาและทีมงานที่สามารถดูแลกระบวนการทำ SEO ได้ทุกขั้นตอน จะช่วยให้ผลลัพธ์จากการทำ SEO เป็นไปในทางบวกและยั่งยืน การทำ SEO ต้องการความรู้ความเข้าใจในเทคนิคต่าง ๆ รวมถึงการวิเคราะห์และปรับปรุงเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและเกณฑ์การจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา
4. ธุรกิจ B2B (Business to Business): การทำ SEO เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างความเชื่อมั่นและการรับรู้ในตลาด B2B โดยการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเป็นที่เชื่อถือ
การทำ SEO เป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่ถ้าทำอย่างถูกต้องและต่อเนื่อง จะช่วยเพิ่ม Traffic และ Leads ได้อย่างยั่งยืน และเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในระยะยาว
ควรเลือกทำ SEM ตอนไหน ?
การเลือกทำ SEM (Search Engine Marketing) ให้กับเว็บไซต์เหมาะสมในกรณีดังต่อไปนี้
1. สินค้าหรือบริการของธุรกิจไม่ต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน: ถ้าสินค้าหรือบริการของคุณเป็นสิ่งที่ลูกค้าสามารถตัดสินใจซื้อได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลาตัดสินใจนาน การทำ SEM จะช่วยให้คุณสามารถโปรโมทสินค้า/บริการให้ลูกค้าเห็นและพร้อมซื้อได้ทันที ซึ่งเหมาะกับสินค้าที่มีราคาปานกลางหรือต่ำ หรือเป็นสิ่งจำเป็นที่คนต้องใช้ในชีวิตประจำวัน
2. ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว: หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาในหน้าแรกได้ทันที การทำ SEM เป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากการซื้อโฆษณาจะทำให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่บนหน้าแรกของผลการค้นหาในทันที ต่างจากการทำ SEO ที่ต้องใช้เวลาในการสร้างอันดับ
3. มีงบประมาณเพียงพอสำหรับการซื้อโฆษณา: การทำ SEM ต้องใช้งบประมาณในการซื้อโฆษณาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น Google Ads หรือแพลตฟอร์มโฆษณาอื่น ๆ คุณต้องมีงบประมาณที่มากพอสำหรับการซื้อโฆษณาในแต่ละสัปดาห์ และต้องใช้จนกว่าจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้
การทำ SEM ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้รวดเร็วและสามารถสร้างยอดขายได้ในทันทีหากมีการวางแผนและบริหารจัดการอย่างเหมาะสม
เปรียบเทียบ SEO กับ SEM แบบหมัดต่อหมัด
1. ความเร็วในการเห็นผลลัพธ์
- SEO: ต้องใช้เวลาหลายเดือนถึงปีเพื่อที่จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน เนื่องจากต้องปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ให้เข้ากับอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหา
- SEM: สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังจากตั้งค่าและเริ่มแคมเปญโฆษณา เว็บไซต์จะปรากฏในผลการค้นหาทันที
ผู้ชนะ: SEM (ในเรื่องของความเร็ว)
2. ค่าใช้จ่าย
- SEO: ค่าใช้จ่ายหลักจะอยู่ที่การจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือการลงทุนเวลาในการเรียนรู้และลงมือทำเอง นอกจากนี้ยังอาจมีค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องมือ SEO ต่างๆ
- SEM: ต้องมีงบประมาณสำหรับการจ่ายค่าโฆษณา (PPC) ซึ่งจะเพิ่มขึ้นตามการแข่งขันของคีย์เวิร์ดและช่วงเวลา
ผู้ชนะ: SEO (ในเรื่องของการประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว)
3. ความยั่งยืน
- SEO: เมื่อเว็บไซต์ติดอันดับดีแล้ว มักจะรักษาอันดับได้ยาวนาน แม้ว่าจะต้องมีการปรับปรุงบ้างเป็นครั้งคราว
- SEM: ผลลัพธ์จะหายไปทันทีที่หยุดจ่ายค่าโฆษณา
ผู้ชนะ: SEO (ในเรื่องของความยั่งยืน)
4. การควบคุมกลุ่มเป้าหมาย
- SEO: สามารถกำหนดคีย์เวิร์ดและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องเพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง แต่ไม่สามารถควบคุมได้อย่างละเอียดเท่ากับ SEM
- SEM: สามารถตั้งค่าเพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนตามภูมิภาค อายุ เพศ ความสนใจ ฯลฯ
ผู้ชนะ: SEM (ในเรื่องของการควบคุมกลุ่มเป้าหมาย)
5. การวัดผลและปรับปรุง
- SEO: ต้องใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Google Analytics, Google Search Console ในการวัดผลและปรับปรุงเว็บไซต์ ต้องใช้เวลาในการเห็นผลของการเปลี่ยนแปลง
- SEM: มีเครื่องมือวัดผลและการปรับปรุงแบบเรียลไทม์ เช่น Google Ads สามารถปรับแคมเปญได้ทันทีตามผลลัพธ์ที่ได้
ผู้ชนะ: SEM (ในเรื่องของการวัดผลและปรับปรุงแบบเรียลไทม์)
สรุปการเลือกใช้ SEO หรือ SEM
- SEO เหมาะกับ: ธุรกิจที่มองหาผลลัพธ์ระยะยาว, มีคอนเทนต์คุณภาพ, มีงบประมาณจำกัดสำหรับการโฆษณา, และธุรกิจ B2B
- SEM เหมาะกับ: ธุรกิจที่ต้องการผลลัพธ์รวดเร็ว, สินค้าหรือบริการที่มีการตัดสินใจซื้อง่าย, มีงบประมาณสำหรับการโฆษณา, และต้องการโปรโมทข้อเสนอพิเศษ
การทำ SEO กับ SEM ควบคู่กัน เป็นทางเลือกที่ดีเพื่อให้ได้ประโยชน์ทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยใช้ SEM เพื่อเพิ่มการเข้าชมในช่วงแรก และทำ SEO เพื่อเพิ่มการเข้าชมในระยะยาว
บทส่งท้าย
การเลือกใช้ SEO หรือ SEM ขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ระยะเวลา และงบประมาณของธุรกิจ หากสามารถทำทั้งสองอย่างควบคู่กันได้ก็จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของธุรกิจติดอันดับที่ดีในผลการค้นหาบน Google