การทำ Page Speed คืออะไร ? มีความสำคัญอย่างไรต่อการทำ SEO
การวัดค่า Page Speed เป็นการประเมินความเร็วในการแสดงผลเนื้อหาของหน้าเว็บเพจ ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น โดยมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ส่งผลต่อความเร็ว เช่น
- ขนาดของรูปภาพ: รูปภาพที่มีขนาดใหญ่จะใช้เวลาในการโหลดมากขึ้น ควรปรับขนาดและรูปแบบไฟล์ให้เหมาะสม
- วิดีโอ: การฝังวิดีโอจากแหล่งภายนอกหรือการใช้วิดีโอที่มีขนาดใหญ่สามารถทำให้หน้าเว็บโหลดช้าลง
- HTML: โค้ด HTML ที่มีขนาดใหญ่หรือไม่มีการจัดการที่ดีอาจทำให้เวลาในการโหลดเพิ่มขึ้น
- CSS: ไฟล์ CSS ที่ไม่มีการรวมโค้ดหรือมีขนาดใหญ่จะทำให้การเรนเดอร์หน้าเว็บช้าลง
- JavaScript: การใช้ JavaScript มากเกินไปหรือไม่มีการจัดการที่ดีจะทำให้การโหลดและการประมวลผลของหน้าเว็บช้าลง
- เว็บเซิร์ฟเวอร์: ความเร็วและความสามารถในการตอบสนองของเว็บเซิร์ฟเวอร์มีผลต่อความเร็วในการโหลด
- ระบบปฏิบัติการ: ระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์ที่ใช้เข้าชมเว็บมีผลต่อความเร็วในการประมวลผล
- เว็บเบราว์เซอร์: เบราว์เซอร์ที่แตกต่างกันมีวิธีการประมวลผลหน้าเว็บที่แตกต่างกัน ส่งผลให้เวลาในการโหลดไม่เท่ากัน
การวัดค่า Page Speed บน Desktop และอุปกรณ์เคลื่อนที่
การวัดค่า การทำ Page Speed จะแยกการวัดระหว่างการแสดงผลบน Desktop และบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ เนื่องจากทั้งสองมีข้อจำกัดและเทคโนโลยีที่ต่างกัน เช่น
- Desktop: มีพลังประมวลผลสูงและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มักจะเสถียรมากกว่า
- อุปกรณ์เคลื่อนที่: มักมีพลังประมวลผลต่ำกว่าและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่อาจไม่เสถียรหรือช้ากว่า
เครื่องมือในการวัดการทำ Page Speed
การใช้เครื่องมือวัด การทำ Page Speed สามารถช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและรายละเอียดที่ต้องปรับปรุงได้ เช่น
- Google PageSpeed Insights: เครื่องมือนี้จะวัดความเร็วในการโหลดหน้าเว็บและให้คะแนนทั้งบน Desktop และอุปกรณ์เคลื่อนที่ พร้อมทั้งแนะนำวิธีการปรับปรุง
- Lighthouse: เครื่องมือโอเพนซอร์สจาก Google ที่สามารถใช้วัดและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บแอปพลิเคชัน รวมถึงการวัดความเร็วในการโหลด
- GTmetrix: ให้การวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของเว็บไซต์และแนะนำการปรับปรุง
การใช้เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้คุณปรับปรุง Page Speed ของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบ
การทำ Page Speed มีความสำคัญอย่างไร เหตุใดจึงควรทำ ?
การทำ Page Speed เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของการทำ SEO (Search Engine Optimization) ซึ่ง Google ใช้ในการประเมินประสบการณ์ของผู้ใช้งานเว็บไซต์ หากเว็บไซต์โหลดช้า จะทำให้ผู้ใช้งานรอนานเกินไปและอาจกดปิดหน้าเว็บไป ทำให้เว็บไซต์สูญเสียโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าและขายสินค้า หรือบริการไปได้อย่างง่ายดาย
ปัจจัยที่ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสถูกคลิกปิด
- หน้าเว็บใช้งานไม่ได้: ปุ่มและฟีเจอร์ที่กดแล้วไม่ตอบสนองจะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์นั้นไม่เสถียร และไม่สามารถใช้งานได้ตามที่คาดหวัง
- ข้อมูลไม่ถูกต้องหรือไม่เกี่ยวข้อง: ข้อมูลที่ไม่ตอบคำถามของผู้ใช้งาน หรือไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้งานต้องการจะทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์ไม่มีประโยชน์
- การจัดวางเลย์เอาท์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ: การจัดวางที่ทำให้ผู้ใช้งานใช้งานยาก ทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถหาเนื้อหาหรือฟีเจอร์ที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย
ผลกระทบจากการถูกคลิกปิดบ่อยๆ
- Bounce rate สูง: เมื่อผู้ใช้งานเข้ามาแล้วออกจากเว็บไซต์อย่างรวดเร็ว จะทำให้เกิดอัตราการตีกลับ (Bounce rate) ที่สูงขึ้น
- การจัดอันดับลดลง: Google มองว่าเว็บไซต์ที่มี Bounce rate สูงเป็นเว็บไซต์ที่มีประสบการณ์ผู้ใช้งานที่ไม่ดี ซึ่งจะส่งผลให้การจัดอันดับของเว็บไซต์นั้นลดลง
การปรับปรุงเพื่อเพิ่ม Page Speed และลด Bounce rate
- ปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ: ลดขนาดของไฟล์รูปภาพและวิดีโอ, ใช้การบีบอัดไฟล์, เปิดใช้การแคช, และลดการใช้ JavaScript และ CSS ที่ไม่จำเป็น
- ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาการใช้งาน: ทดสอบปุ่มและฟีเจอร์ต่างๆ บนหน้าเว็บเพื่อให้แน่ใจว่าทำงานได้ถูกต้องและตอบสนองอย่างรวดเร็ว
- ปรับปรุงเนื้อหาและเลย์เอาท์: มั่นใจว่าเนื้อหาบนหน้าเว็บตอบสนองต่อคำถามและความต้องการของผู้ใช้งาน และจัดวางเลย์เอาท์ให้ง่ายต่อการใช้งาน
- ใช้เครื่องมือวิเคราะห์: ใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics เพื่อติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้งานและระบุจุดที่ต้องปรับปรุง
การทำตามคำแนะนำเหล่านี้จะช่วยปรับปรุง Page Speed ลด Bounce rate และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดและรักษาลูกค้าให้อยู่บนเว็บไซต์ของคุณนานขึ้น
วิธีวัดค่า Page Speed ทำได้อย่างไร ?
ในช่วงกลางปี 2021 ทาง Google ได้ประกาศใช้งาน Core Web Vitals ซึ่งเป็นชุดของตัวชี้วัดที่ใช้วัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในแง่ของประสบการณ์ผู้ใช้งาน โดย Core Web Vitals ประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
1. Largest Contentful Paint (LCP): เป็นการวัดเวลาที่ใช้ในการโหลดคอนเทนต์ที่ใหญ่ที่สุดบนหน้าเว็บเพจ ซึ่งอาจเป็นตัวหนังสือ รูปภาพ หรือวิดีโอ การมีค่า LCP ที่ดี (ต่ำกว่า 2.5 วินาที) แสดงว่าหน้าเว็บโหลดเร็วและมอบประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งาน
2. First Input Delay (FID): เป็นการวัดเวลาที่ผู้ใช้งานต้องรอก่อนที่หน้าเว็บจะตอบสนองต่อการปฏิสัมพันธ์ครั้งแรก เช่น การคลิกปุ่ม การมีค่า FID ที่ดี (น้อยกว่า 100 มิลลิวินาที) แสดงว่าหน้าเว็บตอบสนองได้รวดเร็ว
3. Cumulative Layout Shift (CLS): เป็นการวัดความเสถียรของการจัดวาง Layout บนหน้าเว็บเพจ ค่า CLS จะตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งขององค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บ เช่น ปุ่มที่เลื่อนไปมา ข้อความที่เปลี่ยนตำแหน่ง การมีค่า CLS ที่ดี (น้อยกว่า 0.1) แสดงว่าหน้าเว็บมีการจัดวางที่เสถียรและไม่ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกสับสน
นอกจาก Core Web Vitals แล้ว Google ยังใช้ปัจจัยอื่นๆ ในการประเมินประสบการณ์ผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ เช่น
- Mobile-friendliness: ความเป็นมิตรต่อการใช้งานบนอุปกรณ์เคลื่อนที่
- Safe-browsing: ความปลอดภัยของเว็บไซต์ในการป้องกันมัลแวร์และฟิชชิ่ง
- HTTPS: การใช้ HTTPS เพื่อความปลอดภัยในการเชื่อมต่อ
- No intrusive interstitials: ไม่มีการแสดงโฆษณาที่รบกวนการใช้งาน เช่น โฆษณาที่ครอบคลุมหน้าจอทั้งหมด
การปรับปรุงเว็บไซต์ตามมาตรฐานของ Core Web Vitals และปัจจัยอื่นๆ เหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นต่อผู้ใช้งานและยังส่งผลดีต่อการจัดอันดับในผลการค้นหาของ Google ด้วย
แนะนำการใช้ Page Speed Insight เครื่องมือวัดค่าความเร็ว Google
PageSpeed Insights เป็นเครื่องมือจาก Google ที่ช่วยวัดค่า Page Speed และประสิทธิภาพของเว็บไซต์ โดยเครื่องมือนี้สามารถใช้งานได้ฟรีและมีขั้นตอนการใช้งานที่ง่าย ดังนี้
1. เข้าสู่เว็บไซต์ PageSpeed Insights: คุณสามารถเข้าไปที่ PageSpeed Insights ได้โดยตรง
2. ใส่ URL ของหน้าเว็บเพจ: นำ URL ของหน้าเว็บเพจที่ต้องการวิเคราะห์ใส่ในช่องวิเคราะห์ข้อมูล แล้วคลิกปุ่ม “Analyze”
3. การแสดงผลข้อมูล: PageSpeed Insights จะแสดงข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับประสิทธิภาพของหน้าเว็บเพจ ทั้งบน Desktop และอุปกรณ์เคลื่อนที่
ข้อมูลที่ PageSpeed Insights แสดง
- Core Web Vitals
- Largest Contentful Paint (LCP): แสดงเวลาในการโหลดคอนเทนต์ที่ใหญ่ที่สุด
- First Input Delay (FID): แสดงเวลาที่ใช้ในการตอบสนองต่อการปฏิสัมพันธ์ครั้งแรก
- Cumulative Layout Shift (CLS): แสดงค่าความเสถียรของการจัดวาง Layout
- คะแนนประสิทธิภาพ (Performance Score): คะแนนรวมที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของหน้าเว็บเพจ โดยคะแนนนี้จะอิงตามการวิเคราะห์จากหลายปัจจัย รวมถึง Core Web Vitals
- ข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำ: PageSpeed Insights จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพของหน้าเว็บเพจ และแนะนำจุดที่ควรปรับปรุง เช่น การลดขนาดของไฟล์ภาพ การบีบอัดไฟล์ การลดการใช้ JavaScript และ CSS ที่ไม่จำเป็น เป็นต้น
ข้อมูลเพิ่มเติม
- Opportunities: ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับวิธีการปรับปรุงประสิทธิภาพ เช่น การใช้รูปแบบภาพที่เหมาะสม การเลื่อนการโหลด JavaScript เป็นต้น
- Diagnostics: ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประสิทธิภาพของหน้าเว็บ เช่น การใช้ CSS ที่ไม่ได้ใช้ การเรียกใช้สคริปต์ที่บล็อกการเรนเดอร์ เป็นต้น
- Passed Audits: รายการของการตรวจสอบที่ผ่านไปแล้ว แสดงให้เห็นว่ามีการปฏิบัติตามข้อกำหนดใดบ้างที่ทำให้ประสิทธิภาพดี
การใช้ PageSpeed Insights ช่วยให้คุณทราบข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับประสิทธิภาพของหน้าเว็บเพจและจุดที่ต้องปรับปรุง ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุง การทำ Page Speed และประสบการณ์ของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทคนิคการปรับแต่ง Page Speed เพื่อจัดอันดับ SEO
การปรับแต่ง Page Speed เพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์สามารถทำได้หลายวิธี เทคนิคเบื้องต้นที่ช่วยให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นมีดังนี้
1. ลดขนาดไฟล์
การลดขนาดไฟล์เป็นหนึ่งในเทคนิคที่สำคัญในการปรับแต่ง การทำ Page Speed ของเว็บไซต์ เพื่อให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ดังนี้
1. การลดขนาดรูปภาพ
การใช้เครื่องมือบีบอัดรูปภาพช่วยลดขนาดของไฟล์ภาพโดยที่ไม่สูญเสียคุณภาพสำคัญ สามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น
- TinyPNG: เครื่องมือที่ใช้ในการบีบอัดภาพ PNG และ JPEG โดยอัตโนมัติโดยลดขนาดไฟล์โดยไม่สูญเสียคุณภาพของรูปภาพมากนัก
- ImageOptim: ใช้สำหรับบีบอัดรูปภาพหลายประเภทอย่างรวดเร็วและอัตโนมัติ รวมถึงการลดขนาดของภาพโดยใช้การลบข้อมูลที่ซ้ำซ้อน
การลดขนาดรูปภาพจะช่วยลดการใช้งานแบนด์วิดธ์และเวลาโหลดของเว็บไซต์เช่นกัน
2. การใช้วิดีโอจากแหล่งภายนอก
เพื่อลดภาระการโหลดของเว็บไซต์ ควรพิจารณาใช้การฝังวิดีโอจากแหล่งภายนอก เช่น YouTube แทนการอัพโหลดวิดีโอโดยตรงลงบนเซิร์ฟเวอร์ของเว็บไซต์ของคุณ
- YouTube: ให้บริการฟรีการฝังวิดีโอที่มีประสิทธิภาพสูง โดยทำให้ผู้ใช้งานสามารถดูวิดีโอได้โดยไม่ต้องโหลดไฟล์ใหญ่มาก
- การใช้วิดีโอจากแหล่งภายนอกช่วยลดการใช้พื้นที่พักข้อมูลของเซิร์ฟเวอร์และเวลาโหลดของหน้าเว็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. การมินิไฟล์ HTML, CSS, และ JavaScript
การใช้เครื่องมือมินิไฟล์ช่วยลดขนาดของไฟล์ HTML, CSS, และ JavaScript เพื่อลดเวลาโหลดของหน้าเว็บไซต์ สามารถทำได้โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น
- UglifyJS: ใช้ในการบีบอัดและมินิไฟล์ JavaScript โดยลดขนาดไฟล์โดยอัตโนมัติ โดยลดขนาดของไฟล์ที่ไม่จำเป็นและลบชุดข้อมูลที่ซ้ำซ้อน
- CSSNano: ใช้ในการบีบอัดและมินิไฟล์ CSS โดยอัตโนมัติ โดยลดขนาดของไฟล์และลดการใช้งานทรัพยากรที่ไม่จำเป็น
การมินิไฟล์ HTML, CSS, และ JavaScript ช่วยลดขนาดไฟล์ที่โหลดไปยังผู้ใช้งานและเพิ่มความเร็วในการโหลดของหน้าเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ไวยิ่งขึ้น
2. เปิดใช้การแคช
การเปิดใช้งานการแคชเป็นอีกเทคนิคหนึ่งที่สามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งเป็นการแคชที่เกี่ยวข้องกับเบราว์เซอร์และเซิร์ฟเวอร์ดังนี้
1. เบราว์เซอร์แคช
เบราว์เซอร์แคชคือการเก็บข้อมูลที่เว็บไซต์โหลดลงในเครื่องของผู้ใช้งาน เพื่อให้การเข้าถึงเว็บไซต์ซ้ำๆ ได้เร็วขึ้น เมื่อผู้ใช้งานเข้าเว็บไซต์ซ้ำ บราวเซอร์จะเรียกใช้ข้อมูลที่เคยโหลดมาแล้วจากแคชโดยไม่ต้องดึงข้อมูลใหม่จากเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยลดเวลาโหลดได้อย่างมีนัยสำคัญ
วิธีเปิดใช้งานเบราว์เซอร์แคช
- การตั้งค่า HTTP Cache Headers: ใช้คำสั่ง HTTP headers เช่น Cache-Control และ Expires เพื่อบอกเบราว์เซอร์ว่าจะแคชข้อมูลเป็นเวลานานเท่าไร
- การใช้งาน Service Worker: ใช้ Service Worker เพื่อจัดการแคชข้อมูลอย่างละเอียดในเบราว์เซอร์ และสามารถควบคุมการแคชข้อมูลแม้กระทั่งเมื่อออฟไลน์
2. เซิร์ฟเวอร์แคช
เซิร์ฟเวอร์แคชคือการเก็บข้อมูลที่เว็บไซต์โหลดลงบนเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งช่วยลดการประมวลผลที่ซ้ำซ้อนในการสร้างเนื้อหาของหน้าเว็บไซต์
วิธีเปิดใช้งานเซิร์ฟเวอร์แคช
- การใช้งาน HTTP Cache: ตั้งค่าเซิร์ฟเวอร์ให้ส่งคำสั่ง HTTP headers เช่น Cache-Control และ Expires พร้อมกับการตั้งค่าการแคชในระดับเซิร์ฟเวอร์
- การใช้งาน Reverse Proxy: ใช้ Reverse Proxy เช่น Nginx หรือ Apache เพื่อจัดการแคชข้อมูลไว้ก่อนส่งไปยังเซิร์ฟเวอร์หลัก
ประโยชน์ของการเปิดใช้งานแคช
- ลดเวลาโหลด: การเข้าถึงเนื้อหาที่ถูกแคชจะเร็วกว่าการโหลดข้อมูลใหม่จากเซิร์ฟเวอร์
- ลดการใช้งานแบนด์วิดธ์: เนื่องจากข้อมูลถูกเก็บไว้ในเครื่องหรือเซิร์ฟเวอร์แล้ว ลดการส่งข้อมูลไป-กลับระหว่างเว็บบราวเซอร์กับเซิร์ฟเวอร์
- ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์: การใช้งานแคชบนเซิร์ฟเวอร์ช่วยลดการประมวลผลซ้ำซ้อนของเนื้อหาเว็บไซต์
การเปิดใช้งานการแคชเป็นเทคนิคที่สามารถทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเร็วของเว็บไซต์ในการโหลดสำหรับผู้ใช้งาน
3. ใช้ Content Delivery Network (CDN)
การใช้ Content Delivery Network (CDN) เป็นเทคนิคอีกหนึ่งวิธีที่สามารถช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหลักการของ CDN คือการกระจายเนื้อหาของเว็บไซต์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ที่ตั้งอยู่ทั่วโลก และให้ผู้ใช้งานเข้าถึงเนื้อหาจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุดกับสถานที่ที่พวกเขาอยู่ ซึ่งมีประโยชน์หลายด้านดังนี้
1. ลดเวลาโหลดเนื้อหา
CDN ช่วยลดเวลาในการโหลดเนื้อหาของเว็บไซต์ได้โดยส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใกล้ที่สุดกับผู้ใช้งาน ซึ่งลดการล่าช้าในการโหลดจากเซิร์ฟเวอร์ที่ห่างไกล
2. ลดภาระของเซิร์ฟเวอร์หลัก
เนื่องจาก CDN จะช่วยกระจายการเข้าถึงของผู้ใช้งานไปยังเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ ที่อยู่ใกล้พื้นที่ของพวกเขา ทำให้เซิร์ฟเวอร์หลักไม่ต้องรับภาระการเข้าถึงจากผู้ใช้งานมากเกินไป
3. ความเสถียรของเว็บไซต์
การใช้ CDN ช่วยเพิ่มความเสถียรของเว็บไซต์ในกรณีที่มีการกระจายการโจมตีแบบ DDoS (Distributed Denial of Service) หรือสถานการณ์ที่ซ่อนแสงของการเข้าถึงข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์หลักได้
4. การเพิ่มประสิทธิภาพของ SEO
การโหลดเว็บไซต์ที่เร็วขึ้นมีผลต่อการจัดอันดับในผลการค้นหาของ Google โดย CDN ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ SEO โดยทั่วไป
วิธีการใช้ CDN
- เลือกผู้ให้บริการ CDN: เลือก CDN provider ที่มีความเหมาะสมกับความต้องการของเว็บไซต์และผู้ใช้งาน
- ตั้งค่า DNS: ตั้งค่า DNS ของเว็บไซต์เพื่อใช้ CDN provider โดยการสร้าง CNAME record ที่ชี้ไปยัง CDN
- การจัดการแคช: ใช้คุณสมบัติต่างๆ ของ CDN เพื่อจัดการแคชเนื้อหาต่างๆ เช่น แคชคอนโทล, การตั้งค่าเวลาของแคช, และการสร้างหรือลบแคชเมนต์ต่างๆ
การใช้ CDN เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพสำหรับการปรับปรุงความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ด้วยความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
4. ลดการใช้ปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น
การลดการใช้ปลั๊กอินที่ไม่จำเป็นเป็นเทคนิคสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพในการโหลดและการทำงานทั่วไป นี่คือเทคนิคที่สามารถใช้เพื่อจัดการปลั๊กอินอย่างมีประสิทธิภาพ
1. ลบหรือปิดการใช้งานปลั๊กอินที่ไม่จำเป็น
- ตรวจสอบปลั๊กอินที่ใช้งานอยู่: ทำการตรวจสอบปลั๊กอินทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ในเว็บไซต์
- ประเมินประสิทธิภาพ: พิจารณาว่าแต่ละปลั๊กอินมีการใช้งานที่จำเป็นและมีประสิทธิภาพสูงหรือไม่
- ลบหรือปิดการใช้งาน: ถ้าพบปลั๊กอินที่ไม่ได้ใช้งานหรือไม่จำเป็น ควรพิจารณาลบหรือปิดการใช้งานเพื่อลดการโหลดที่ไม่จำเป็นของเว็บไซต์
2. เลือกปลั๊กอินที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ
- คุณภาพของปลั๊กอิน: เลือกใช้ปลั๊กอินที่มีคุณภาพดีและได้รับการอัพเดทอย่างสม่ำเสมอจากผู้พัฒนา
- รีวิวจากผู้ใช้: อ่านรีวิวและความคิดเห็นจากผู้ใช้งานอื่นๆ เพื่อเลือกปลั๊กอินที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยม
- ประสิทธิภาพ: คำนึงถึงประสิทธิภาพของปลั๊กอินที่มีการใช้งานที่ดีและไม่มีผลกระทบต่อความเร็วของเว็บไซต์
การลดการใช้ปลั๊กอินที่ไม่จำเป็นช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพและความเร็วในการโหลดที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นการจัดการที่สำคัญในการปรับปรุงคุณภาพของเว็บไซต์ของคุณ
5. ใช้ปลั๊กอินเพื่อเพิ่มความเร็ว
การใช้ปลั๊กอินเพื่อเพิ่มความเร็วในการโหลดของเว็บไซต์เป็นเทคนิคที่มีประสิทธิภาพและเป็นที่นิยม โดยเฉพาะสำหรับเว็บไซต์ที่ใช้แพลตฟอร์ม WordPress มีปลั๊กอินหลายตัวที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพดังนี้
1. ปลั๊กอินแคช
- W3 Total Cache: เป็นปลั๊กอินที่มีคุณสมบัติในการแคชทั้งหน้าเว็บ, CSS, JavaScript และการเชื่อมต่อฐานข้อมูล เพื่อลดเวลาการโหลดของเว็บไซต์
- WP Super Cache: ปลั๊กอินที่ง่ายต่อการใช้งาน มีฟีเจอร์การแคชแบบสตาติกและแบบ HTML ที่ช่วยลดการประมวลผลของเซิร์ฟเวอร์
2. ปลั๊กอินบีบอัดรูปภาพ
- Smush: ปลั๊กอินที่ช่วยในการบีบอัดรูปภาพโดยอัตโนมัติโดยไม่สูญเสียคุณภาพของรูปภาพ
- EWWW Image Optimizer: ปลั๊กอินที่มีการบีบอัดรูปภาพที่มีประสิทธิภาพสูงและมีตัวเลือกการตั้งค่าต่างๆ สำหรับการบีบอัดรูปภาพ
การใช้ปลั๊กอินเหล่านี้ช่วยลดขนาดของไฟล์ที่ต้องโหลดจากเซิร์ฟเวอร์ ทำให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้นและช่วยลดการใช้งานแบนด์วิดธ์ ซึ่งเป็นการปรับปรุงที่มีผลต่อประสบการณ์การใช้งานของผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. จัดระเบียบโครงสร้างเว็บไซต์
การจัดระเบียบโครงสร้างเว็บไซต์เป็นเทคนิคที่สำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพในการโหลดและการทำงานของเว็บไซต์ นอกจากเทคนิคที่ได้กล่าวถึงแล้ว เช่น การลดคำขอ HTTP, Lazy Loading, และการบีบอัดไฟล์ ยังมีเทคนิคเพิ่มเติมที่สามารถใช้ได้เช่นดังนี้
1. การลดคำขอ HTTP
รวมไฟล์ CSS และ JavaScript: ทำการรวมไฟล์ CSS หรือ JavaScript หลายๆ ไฟล์ให้เป็นไฟล์เดียวกัน เช่น ในการพัฒนาเว็บไซต์ในระหว่างการพัฒนา หรือใช้เครื่องมือที่ช่วยในการรวมไฟล์ เช่น Gulp, Webpack หรือเครื่องมืออื่นๆ ที่สามารถทำการบวกไฟล์เหล่านี้ได้
2. การเลื่อนการโหลด (Lazy Loading)
Lazy Loading รูปภาพและวิดีโอ: ใช้เทคนิคนี้เพื่อให้รูปภาพหรือวิดีโอโหลดเมื่อถูกเรียกดูจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อผู้ใช้งานเลื่อนลงมาถึงพื้นที่นั้น ซึ่งช่วยลดการโหลดเริ่มต้นของหน้าเว็บและประหยัดแบนด์วิดธ์
3. การบีบอัดไฟล์
การใช้ Gzip หรือ Brotli: การใช้เทคนิคการบีบอัดไฟล์ที่เข้ารหัส (compression) เช่น Gzip หรือ Brotli จะช่วยลดขนาดของไฟล์ที่ส่งไปยังผู้ใช้งาน เซิร์ฟเวอร์จะบีบอัดไฟล์ก่อนที่จะส่งไปยังเบราว์เซอร์ของผู้ใช้งาน ทำให้เว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น
4. การจัดการรูปแบบไฟล์อื่นๆ
- การลบรหัสที่ไม่จำเป็น: ประเมินและลบรหัสที่ไม่จำเป็นออกจากไฟล์ CSS และ JavaScript เช่น คอมเมนต์ที่ไม่จำเป็นหรือรหัสที่ไม่ได้ใช้งาน
- การใช้งาน CDN: นอกจากการกระจายเนื้อหา CDN ยังช่วยลดการโหลดของเว็บไซต์ได้ โดยการจัดเก็บไฟล์สำเนาในเซิร์ฟเวอร์ CDN ที่ตั้งอยู่ใกล้กับผู้ใช้งาน
การนำเทคนิคเหล่านี้มาใช้ร่วมกันช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้มีความเร็วและประสบการณ์การใช้งานที่ดีต่อผู้เข้าชมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. อัพเดตเทคโนโลยี
การอัพเดตเทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ โดยการใช้เทคโนโลยีล่าสุดจะช่วยให้เว็บไซต์ทำงานได้รวดเร็วและปลอดภัยยิ่งขึ้น นี่คือเทคนิคที่ควรพิจารณา
1. อัพเดตเวอร์ชันของ PHP และ MySQL
- PHP: อัพเดต PHP ให้เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่รองรับ เช่น PHP 8.x เนื่องจากเวอร์ชันใหม่มักมีการปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ดีกว่าเวอร์ชันเก่า
- MySQL: อัพเดต MySQL หรือใช้ MariaDB ซึ่งเป็นการแยกตัวจาก MySQL แต่มีการพัฒนาที่ต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพสูง
การอัพเดตทั้ง PHP และ MySQL ช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลคำสั่งและการเข้าถึงฐานข้อมูล ทำให้เว็บไซต์โหลดได้เร็วขึ้น
2. การใช้โปรโตคอล HTTP/2
- HTTP/2: เป็นโปรโตคอลที่ถูกพัฒนามาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการโหลดหน้าเว็บเพจ ซึ่งมีความเร็วในการสื่อสารระหว่างเซิร์ฟเวอร์และเบราว์เซอร์ที่ดีกว่า HTTP/1.1 เนื่องจากสามารถโหลดหลายคำขอพร้อมกันในครั้งเดียว (multiplexing) และลดการส่งข้อมูลที่ซ้ำซ้อน
- วิธีการใช้งาน HTTP/2
- ตรวจสอบเซิร์ฟเวอร์: ตรวจสอบว่าเซิร์ฟเวอร์ของคุณรองรับ HTTP/2 หรือไม่ และหากไม่รองรับควรพิจารณาอัพเกรดหรือย้ายไปใช้บริการโฮสติ้งที่รองรับ HTTP/2
- การตั้งค่า SSL: HTTP/2 ทำงานร่วมกับการเชื่อมต่อที่ปลอดภัย (HTTPS) ดังนั้นการติดตั้งและตั้งค่า SSL Certificate เป็นสิ่งจำเป็น
3. ประโยชน์ของการอัพเดตเทคโนโลยี
- ประสิทธิภาพสูงขึ้น: การอัพเดตเวอร์ชันของ PHP, MySQL, และการใช้ HTTP/2 จะช่วยเพิ่มความเร็วในการประมวลผลและการโหลดของเว็บไซต์
- ความปลอดภัย: เวอร์ชันใหม่มักมีการปรับปรุงด้านความปลอดภัยและป้องกันช่องโหว่ที่อาจมีในเวอร์ชันเก่า
- ประสบการณ์ผู้ใช้งานที่ดีขึ้น: เมื่อเว็บไซต์โหลดเร็วขึ้น ผู้ใช้งานจะได้รับประสบการณ์ที่ดีกว่า และมีแนวโน้มที่จะอยู่บนเว็บไซต์นานขึ้น
การอัพเดตเทคโนโลยีเป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับการรักษาความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้ทันสมัยและปลอดภัย