ผู้ให้บริการด้าน Social Media Marketing อันดับ 1

การทำ Keyword Research มีความสำคัญต่อการค้นหาบน Google

การทำ Keyword Research มีความสำคัญต่อการค้นหาบน Google
การทำ Keyword Research (การวิจัยคำค้นหา) ถือว่าเป็นขั้นตอนพื้นฐานและสำคัญมากในการทำ SEO (การเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา) สำหรับเว็บไซต์ธุรกิจ มีเหตุผลหลายประการที่ทำให้การทำ Keyword Research เป็นสิ่งที่ต้องทำก่อนที่จะลงมือทำ SEO ท่านใดที่กำลังตามหาวิธีค้นหาคีย์เวิร์ดอยู่เพื่อทำ SEO บน Google อยู่นั้น แต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นจากการค้นหาคีย์เวิร์ดอย่างไรดี SocialIn.One รวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาไว้ให้แล้ว เพื่อนำไปเขียนในคอนเทนต์ โดยรายละเอียดจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย

Keyword คืออะไร ? มีวิธีใช้งานคีย์เวิร์ดอย่างไร ?

Keyword หรือ คีย์เวิร์ด คือ คำหรือวลีที่ผู้ใช้งานพิมพ์ลงในเครื่องมือค้นหา (เช่น Google) เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการทราบ ในบริบทของ SEO (Search Engine Optimization) คีย์เวิร์ดมีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันเป็นตัวกำหนดว่าเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรและช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจและจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณได้

การใช้งาน Keyword ในการทำ SEO

1. การค้นคว้าคีย์เวิร์ด (Keyword Research)

  • ระดมความคิด: เริ่มจากการคิดคำหรือวลีที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ และคำที่คุณคิดว่าลูกค้าน่าจะใช้ค้นหา
  • ใช้เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ด: เช่น Google Keyword Planner, Ahrefs, SEMrush, Moz Keyword Explorer เพื่อดูปริมาณการค้นหาและการแข่งขันของคีย์เวิร์ดเหล่านั้น
  • เลือกคีย์เวิร์ด: คัดเลือกคีย์เวิร์ดที่มีปริมาณการค้นหาที่เหมาะสมและการแข่งขันที่ไม่สูงเกินไป

2. การใช้คีย์เวิร์ดในเนื้อหา

  • Title Tag: ใส่คีย์เวิร์ดหลักใน Title Tag ของหน้าเว็บเพื่อช่วยให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาหลักของหน้า
  • Meta Description: ใช้คีย์เวิร์ดใน Meta Description เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้คลิกเข้ามายังเว็บไซต์ของคุณ
  • URL: ใส่คีย์เวิร์ดใน URL เพื่อช่วยในการทำ SEO
  • Heading (H1, H2, H3): ใช้คีย์เวิร์ดในหัวข้อหลักและหัวข้อรองเพื่อให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจโครงสร้างของเนื้อหา
  • เนื้อหาหลัก: กระจายคีย์เวิร์ดในเนื้อหาอย่างเป็นธรรมชาติและเหมาะสม อย่าใช้คีย์เวิร์ดมากเกินไป (Keyword Stuffing) เพราะอาจถูกลงโทษโดยเครื่องมือค้นหา
  • Alt Text ของรูปภาพ: ใช้คีย์เวิร์ดใน Alt Text ของรูปภาพเพื่อเพิ่มโอกาสในการค้นหาแบบรูปภาพ

3. การปรับปรุงเนื้อหา

  • การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง: สร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามของผู้ใช้และให้ข้อมูลที่มีประโยชน์
  • การปรับปรุงเนื้อหา: ตรวจสอบและปรับปรุงเนื้อหาของคุณอย่างสม่ำเสมอเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของคีย์เวิร์ดและพฤติกรรมการค้นหาของผู้ใช้

ตัวอย่างการใช้ Keyword

สมมติว่าธุรกิจของคุณขายรองเท้าวิ่ง คุณอาจจะใช้คีย์เวิร์ดดังต่อไปนี้ในเนื้อหาเว็บไซต์

  • Title Tag: “ซื้อรองเท้าวิ่งที่ดีที่สุด | ร้านรองเท้าออนไลน์”
  • Meta Description: “ค้นหารองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับทุกประเภทการวิ่ง ที่นี่มีรองเท้าคุณภาพสูงให้เลือกหลากหลาย”
  • URL: “yourwebsite.com/รองเท้าวิ่ง”
  • Heading (H1): “รองเท้าวิ่งที่ดีที่สุดในปี 2024”
  • Heading (H2): “รองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ที่คุณไม่ควรพลาด”
  • เนื้อหาหลัก: “รองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ล่าสุดออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบายและประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าคุณจะเป็นนักวิ่งมือใหม่หรือมืออาชีพ รองเท้าวิ่งของเรามีทุกอย่างที่คุณต้องการ”

การใช้คีย์เวิร์ดอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสสูงขึ้นที่จะปรากฏในผลการค้นหาของ Google ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าชมและยอดขายได้ในที่สุด

Keyword

Keyword Research คืออะไร?

Keyword Research หรือ การวิจัยคำค้นหา คือ กระบวนการค้นหาและวิเคราะห์คำหรือวลีที่ผู้ใช้งานพิมพ์ลงในเครื่องมือค้นหา (เช่น Google) เพื่อค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของธุรกิจของคุณ การทำ Keyword Research ช่วยให้คุณทราบถึงคำค้นหาที่ผู้ใช้งานใช้บ่อยและมีปริมาณการค้นหาสูง ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการวางแผนสร้างบทความหรือเนื้อหาบนเว็บไซต์ให้ตรงกับ Search Intent (เจตนาของการค้นหา) ของผู้ใช้

ขั้นตอนการทำ Keyword Research เป็นอย่างไร ?

1. การระดมคำค้นหา (Brainstorming)

  • เริ่มจากการคิดคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของคุณ
  • พิจารณาคำที่ลูกค้าของคุณน่าจะใช้ในการค้นหา เช่น คำอธิบายสินค้า ประเภทของบริการ หรือปัญหาที่สินค้าหรือบริการของคุณสามารถแก้ไขได้

2. การใช้เครื่องมือช่วยวิจัยคำค้นหา

  • ใช้เครื่องมือวิจัยคีย์เวิร์ด เช่น Google Keyword Planner, Ahrefs, SEMrush, Moz Keyword Explorer เพื่อค้นหาคำค้นหาที่มีปริมาณการค้นหาสูงและวิเคราะห์การแข่งขัน
  • เครื่องมือเหล่านี้จะแสดงข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนการค้นหาต่อเดือน ความยากง่ายในการแข่งขัน และคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

3. การวิเคราะห์ Search Intent

  • วิเคราะห์เจตนาของการค้นหาของผู้ใช้ว่าเขาต้องการหาข้อมูล, ซื้อสินค้า, หาข้อมูลรีวิว, หรือเพียงต้องการความรู้พื้นฐาน
  • สร้างเนื้อหาที่ตอบสนองต่อเจตนาของการค้นหาเหล่านั้น เพื่อให้ผู้ใช้พบสิ่งที่ต้องการได้จากเว็บไซต์ของคุณ

4. การเลือกคำค้นหาที่เหมาะสม

  • เลือกคำค้นหาที่มีปริมาณการค้นหาสูงและการแข่งขันที่ไม่สูงจนเกินไป
  • คำค้นหาที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณและสามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้

5. การสร้างและปรับปรุงเนื้อหา

  • สร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่ใช้คำค้นหาที่เลือกไว้ใน Title, Meta Description, Heading, URL และเนื้อหาหลัก
  • ปรับปรุงเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามแนวโน้มการค้นหาและปรับตัวให้ตรงกับการเปลี่ยนแปลง

เครื่องมือยอดนิยมสำหรับการทำ Keyword Research

  • Google Keyword Planner: เครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยให้คุณเห็นปริมาณการค้นหาและแนวโน้มของคำค้นหา
  • Ahrefs: เครื่องมือที่มีฟีเจอร์การวิเคราะห์คำค้นหาและดูข้อมูลการแข่งขันอย่างละเอียด
  • SEMrush: เครื่องมือที่ช่วยให้คุณค้นหาคำค้นหา วิเคราะห์คู่แข่ง และดูข้อมูลการค้นหา
  • Moz Keyword Explorer: เครื่องมือที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการค้นหา ความยากง่ายในการจัดอันดับ และคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่างการทำ Keyword Research

สมมติว่าคุณขายรองเท้าวิ่ง คุณอาจทำการวิจัยคำค้นหาโดยใช้ขั้นตอนดังนี้

  • ระดมคำค้นหา: “รองเท้าวิ่ง,” “รองเท้าวิ่งผู้หญิง,” “รองเท้าวิ่งผู้ชาย,” “รองเท้าวิ่งรุ่นใหม่,” “รองเท้าวิ่งราคาถูก”
  • ใช้เครื่องมือวิจัย: ใช้ Google Keyword Planner เพื่อดูปริมาณการค้นหาและการแข่งขันของคำค้นหาดังกล่าว
  • วิเคราะห์ Search Intent: ผู้ใช้ที่ค้นหา “รองเท้าวิ่งราคาถูก” อาจต้องการซื้อสินค้าในราคาประหยัด ควรสร้างเนื้อหาที่แนะนำรองเท้าวิ่งที่มีคุณภาพดีแต่ราคาไม่แพง
  • เลือกคำค้นหาที่เหมาะสม: เลือกคำค้นหาที่มีปริมาณการค้นหาสูงและการแข่งขันไม่สูงเกินไป เช่น “รองเท้าวิ่งผู้หญิง”
  • สร้างและปรับปรุงเนื้อหา: สร้างบทความเกี่ยวกับ “รองเท้าวิ่งผู้หญิงที่ดีที่สุดในปี 2024” และใช้คำค้นหาในหัวข้อ, เนื้อหา, และคำอธิบายรูปภาพ

การทำ Keyword Research ที่ดีจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสสูงขึ้นในการติดอันดับบนหน้าผลการค้นหาของ Google และดึงดูดผู้เข้าชมที่มีความสนใจจริงๆ ซึ่งจะนำไปสู่โอกาสในการขายที่สูงขึ้น

Keyword Research

Search Intent คืออะไร ?

ในการทำความเข้าใจ Search Intent หรือเจตนาของการค้นหาของผู้ใช้เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการสร้างเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย การรู้ว่าเป้าหมายของผู้ใช้ในการค้นหาข้อมูลคืออะไร จะช่วยให้คุณสามารถสร้างเนื้อหาที่ตอบสนองต่อความต้องการเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย Search Intent หลักๆ ที่ผู้ใช้อาจมีเมื่อใช้เครื่องมือค้นหามีดังนี้

1. ข้อมูลทั่วไป (Informational Intent)

ผู้ใช้ต้องการหาคำตอบหรือความรู้เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหาที่คุณมีในเว็บไซต์

ตัวอย่าง

  • คำค้นหา: “วิธีการเลือกซื้อรองเท้าวิ่ง”, “ประโยชน์ของการออกกำลังกาย”, “ประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ”
  • เนื้อหาที่ควรสร้าง: บทความที่ให้ข้อมูลละเอียด, บทความ How-to, คู่มือการใช้งาน, รายการข้อควรรู้

2. ทำความรู้จักกับธุรกิจ (Navigational Intent)

ผู้ใช้ต้องการเข้าชมเว็บไซต์ของธุรกิจของคุณหรือค้นหาข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ

ตัวอย่าง

  • คำค้นหา: “เว็บไซต์ของ Nike”, “ติดต่อ Apple”, “หน้าหลักของร้าน XYZ”
  • เนื้อหาที่ควรสร้าง: หน้าเกี่ยวกับเรา, หน้าเว็บไซต์หลัก, หน้า Contact Us, หน้าแผนที่ตั้งของบริษัท

3. เปรียบเทียบก่อนตัดสินใจ (Transactional Intent)

ผู้ใช้อยู่ในขั้นตอนการเปรียบเทียบสินค้าหรือบริการก่อนการตัดสินใจซื้อ อาจจะเปรียบเทียบคุณสมบัติ, ราคา หรือการบริการหลังการขาย

ตัวอย่าง

  • คำค้นหา: “รีวิวรองเท้าวิ่ง Nike vs Adidas”, “ราคาคอมพิวเตอร์ Dell”, “เปรียบเทียบแพ็กเกจอินเทอร์เน็ต”
  • เนื้อหาที่ควรสร้าง: บทความรีวิว, บทความเปรียบเทียบสินค้า, ตารางราคา, คำแนะนำการเลือกซื้อ

4. พร้อมซื้อ (Commercial Intent)

ผู้ใช้มีความพร้อมในการซื้อสินค้าหรือบริการแล้ว ต้องการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อ เช่น สถานที่วางขาย, โปรโมชั่น, ช่องทางการซื้อออนไลน์

ตัวอย่าง

  • คำค้นหา: “ซื้อรองเท้าวิ่ง Nike ออนไลน์”, “ร้านขายคอมพิวเตอร์ในกรุงเทพ”, “โค้ดส่วนลดร้าน ABC”
  • เนื้อหาที่ควรสร้าง: หน้าโปรโมชั่น, หน้าแนะนำช่องทางการซื้อ, หน้าแนะนำร้านค้า, หน้าอธิบายขั้นตอนการสั่งซื้อ

การปรับเนื้อหาให้ตรงกับ Search Intent

เมื่อคุณรู้ว่า Search Intent ของกลุ่มเป้าหมายคืออะไร คุณสามารถปรับเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณให้ตรงกับความต้องการเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น

  • สำหรับ Informational Intent: สร้างบทความที่ให้ข้อมูลอย่างละเอียดและตอบคำถามที่ผู้ใช้อาจมี เช่น คู่มือการใช้งาน, บทความวิชาการ หรือ Q&A
  • สำหรับ Navigational Intent: ทำให้เว็บไซต์ใช้งานง่าย มีการนำทางที่ชัดเจน และมีข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจของคุณอย่างครบถ้วน
  • สำหรับ Transactional Intent: สร้างเนื้อหาที่ช่วยในการเปรียบเทียบสินค้า, รีวิว, และมีตารางเปรียบเทียบราคา
  • สำหรับ Commercial Intent: มีข้อมูลเกี่ยวกับการซื้อขายที่ชัดเจน, แนะนำโปรโมชั่นพิเศษ, และทำให้ขั้นตอนการซื้อขายง่ายดายและสะดวกสบาย

การทำ Keyword Research ที่ดีและการทำความเข้าใจ Search Intent จะช่วยให้คุณสร้างเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ และช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในการดึงดูดและรักษาผู้เข้าชม

Search Intent

การทำ Keyword Research มีความสำคัญอย่างไร ?

การทำ Keyword Research มีความสำคัญมากในการทำ SEO และการวางแผนการตลาดออนไลน์ ซึ่งมีประโยชน์หลากหลายด้าน ดังนี้

1. การเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย

การทำ Keyword Research ช่วยให้คุณรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณกำลังมองหาข้อมูลเกี่ยวกับอะไรบน Google ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์และตรงกับความต้องการของพวกเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เว็บไซต์ของคุณน่าสนใจและมีคุณค่าต่อผู้เยี่ยมชม

2. เพิ่ม Organic Traffic

Organic Traffic คือการเข้าชมเว็บไซต์ที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา การทำ Keyword Research ช่วยให้คุณเลือกคำค้นหาที่เหมาะสมในการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง เมื่อ Google เห็นว่าเนื้อหาของคุณตอบโจทย์และมีคุณภาพ ก็จะดึงหน้าคอนเทนต์นั้นขึ้นแสดงเป็นอันดับแรกๆ บนหน้าผลการค้นหา ทำให้คุณได้รับ Organic Traffic มากยิ่งขึ้น

3. เพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ

เมื่อคุณสร้างเนื้อหาที่ตอบคำถามและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย พวกเขาจะเห็นว่าธุรกิจของคุณมีความรู้และความเชี่ยวชาญในด้านนั้น ซึ่งจะเพิ่มความน่าเชื่อถือและโอกาสในการขายสินค้าและบริการมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ที่อาจไม่เคยรู้จักธุรกิจของคุณมาก่อน

4. การวางแผนคอนเทนต์อย่างมีประสิทธิภาพ

การทำ Keyword Research ช่วยให้คุณวางแผนการสร้างคอนเทนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณจะรู้ว่าควรเน้นเนื้อหาในเรื่องใด ควรใช้คำค้นหาใดในการเขียนบทความ ทำให้เนื้อหาที่คุณสร้างขึ้นมีโอกาสสูงที่จะถูกค้นพบและดึงดูดผู้เยี่ยมชมมายังเว็บไซต์

5. ลดต้นทุนการทำการตลาด

การทำ SEO และการเพิ่ม Organic Traffic ช่วยลดต้นทุนการทำการตลาดแบบจ่ายเงิน เช่น Google Ads หรือ SEM (Search Engine Marketing) คุณสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและใช้ทรัพยากรในการพัฒนาเนื้อหาคุณภาพสูงแทน

ตัวอย่างการทำ Keyword Research

1. การเลือกคำค้นหาหลักและคำค้นหารอง

  • คำค้นหาหลัก (Primary Keywords): เป็นคำค้นหาที่มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณโดยตรง เช่น “รองเท้าวิ่ง”
  • คำค้นหารอง (Secondary Keywords): เป็นคำค้นหาที่เสริมคำค้นหาหลัก เช่น “รองเท้าวิ่งผู้หญิง”, “รองเท้าวิ่งรุ่นใหม่”

2. การใช้เครื่องมือช่วยวิจัยคำค้นหา

  • ใช้ Google Keyword Planner เพื่อค้นหาปริมาณการค้นหาและการแข่งขันของคำค้นหาต่างๆ
  • ใช้ Ahrefs หรือ SEMrush เพื่อดูข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคำค้นหา รวมถึงการวิเคราะห์คู่แข่ง

3. การวางแผนคอนเทนต์

  • สร้างบทความหรือเนื้อหาที่ตอบคำถามและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
  • ใช้คำค้นหาหลักและคำค้นหารองในหัวข้อ, เนื้อหา, Meta Tags และ URL

ผลลัพธ์จากการทำ Keyword Research

เมื่อคุณทำ Keyword Research อย่างถูกต้องและนำมาปรับใช้ในการสร้างเนื้อหา จะช่วยเพิ่มโอกาสในการแสดงผลเว็บไซต์ของคุณบนหน้าผลการค้นหาของ Google ทำให้คุณได้รับ Organic Traffic มากขึ้น เพิ่มโอกาสในการขายสินค้าและบริการ และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณในระยะยาว

Keyword Research

วิธีเลือก Keyword Research พิจารณาจากอะไร ?

เมื่อคุณต้องการคัดเลือก Keyword ที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในเนื้อหาของเว็บไซต์ ควรใช้เทคนิคการประเมินค่าต่างๆ ดังนี้

1. Search Volume (ปริมาณการค้นหา)

ความสำคัญ: ปริมาณการค้นหาแสดงถึงความนิยมของคำค้นหานั้นๆ ในช่วงเวลาที่กำหนด ยิ่งมีค่ามาก คือมีผู้ค้นหามากขึ้น ซึ่งอาจช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับการเข้าชมมากขึ้น

การใช้งาน: เลือก Keyword ที่มีปริมาณค้นหาสูงพอสมควร เพื่อให้มีโอกาสที่จะดึงดูดผู้ใช้เข้ามายังเว็บไซต์ของคุณได้มากขึ้น

2. Click Through Rate (CTR)

ความสำคัญ: แม้ว่า CTR จะลดลงเนื่องจาก Featured Snippets แสดงข้อมูลสำคัญขึ้นก่อน แต่ค่านี้ยังสามารถบอกได้ว่า Keyword นั้นๆ มีโอกาสที่จะโดดเด่นและมีผู้ใช้คลิกเข้าไปดูเนื้อหาของคุณหรือไม่

การใช้งาน: คำนึงถึง CTR เพื่อเลือก Keyword ที่มีโอกาสที่จะดึงดูดผู้ใช้เข้ามาได้มากขึ้น โดยพิจารณาว่า Keyword นั้นๆ มีศักยภาพที่จะทำให้เกิดการคลิก

3. Keyword Difficulty (KD)

ความสำคัญ: ค่า KD บ่งบอกถึงความยากหรือง่ายในการแข่งขันสำหรับ Keyword นั้นๆ ในการจัดอันดับในผลการค้นหา ค่าเลขที่สูงแสดงถึงคำค้นหาที่มีความยากในการแข่งขันมาก

การใช้งาน: เลือก Keyword ที่มี KD ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ ซึ่งอาจจะไม่ต้องการเน้น Keyword ที่มี KD สูงมากเกินไป แต่อาจจะเลือก Long-tail Keywords หรือคำที่เฉพาะเจาะจงกว่า

การใช้เครื่องมือในการคัดเลือก Keyword

  • Google Keyword Planner: ช่วยให้คุณเข้าใจเกี่ยวกับปริมาณการค้นหาและค่า CPC (Cost per Click) ของ Keyword
  • Ahrefs: ใช้สำหรับวิเคราะห์ KD และ Backlink ของคำค้นหา
  • SEMrush: ช่วยในการวิเคราะห์ Keyword และตรวจสอบประสิทธิภาพของ Keyword ที่มีผลต่อการค้นหา
  • Moz Keyword Explorer: ช่วยในการวิเคราะห์ KD และช่วยให้เห็นภาพรวมของการแข่งขัน Keyword

การคัดเลือก Keyword ที่เหมาะสมควรพิจารณาค่าทั้งสามปัจจัยด้านบนเพื่อให้มั่นใจว่าคำค้นหาที่เลือกมีศักยภาพที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพในการ SEO อย่างเหมาะสม

เทคนิคการคัดเลือก Keyword ที่เหมาะสม

1. ค้นหาคำที่มี Balance ระหว่าง Search Volume และ Keyword Difficulty

เลือก Keyword ที่มี Search Volume สูงพอที่จะสร้างการเข้าถึง และ KD ที่ต่ำพอที่จะทำ SEO ได้ง่าย
อาจจะคำนึงถึง Long-tail Keywords ที่มี Search Volume น้อยกว่าแต่มีโอกาสในการทำ SEO ที่ดีกว่า

2. ตรวจสอบความสัมพันธ์กับธุรกิจของคุณ

เลือก Keyword ที่เชื่อมโยงกับธุรกิจของคุณโดยตรง เพื่อให้เนื้อหาสอดคล้องกับที่ต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

3. วิเคราะห์และตรวจสอบ CTR ในข้อมูลของคำค้นหาที่ใกล้เคียง

พิจารณา CTR ที่ปรากฏใน Feature Snippet หรือผลการค้นหาจริง เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการคัดเลือก Keyword

4. การปรับปรุงและทดสอบ

หลังจากเลือก Keyword และนำไปใช้งานในเนื้อหา ควรติดตามผลลัพธ์ของการทำ SEO เพื่อปรับปรุงคำค้นหาตามความเหมาะสม

บทส่งท้าย

การทำ Keyword Research ที่ดีจะเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะช่วยให้การทำ SEO ของเว็บไซต์ธุรกิจของคุณมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
บริการปั้มไลค์ เพิ่มผู้ติดตาม ปั้มยอดวิว มีครบจบที่ Auto-Like.co

แชร์:

ความคิดเห็น:

หัวข้อเรื่อง